โยโกฮาม่า (Yokohama) เมืองท่าสำคัญอีกแห่งของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านเรือนเคียงกับโตเกียว (Tokyo) นิ๊ดเดียว แบบที่ว่าเราสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้สบายๆ โดยโยโกฮาม่า (Yokohama) ถือเป็นอีกเมืองที่บรรยากาศดีงาม ตึกรามบ้านช่องคือสวยสับเหมือนโดนจับวางและเซ็ตไว้อย่างดิบดีและซ่อนไปด้วยมู้ดอบอุ่นฉบับหนุบหนับในหัวใจ โดยรอบนี้ก๊อตจะพาทุกคนมาเดินเที่ยวชิลๆ แบบสโลว์ไลฟ์ไปตามแลนด์มาร์คของเมือง ทั้งพิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ (Cup Noodles Museum Yokohama) พิพิธภัณฑ์บะหมี่นิสชิน (NISSIN) ที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี หรือแม้แต่จะเป็นโกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) โกดังริมท่าเรือที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่เคลื่อนย้ายสินค้าจากเรือค้าขาย และไฮไลท์ของทริปนี้ที่ต้องอ่านให้จบเลยคือก๊อตมีไปดูกันดั้มที่ Gundam Factory Yokohama ที่ทุกคนจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับกันดั้มขนาดเท่าของจริงสูง 18 เมตร น้ำหนักกว่า 2,500 กิโลกรัมที่เคลื่อนไหวได้ เกริ่นกันมาอลังการเบอร์นี้แล้ว รออะไรอยู่เล่าเลื่อนอ่านรีวิวเต็มๆ โลดด
รู้จักกับเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama)
โยโกฮาม่า (Yokohama) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่นรองลงมาจากโตเกียวเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในจังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) โดยข้อมูลเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา เมืองแห่งนี้มีคนอาศัยอยู่มากถึง 3.8 ล้านคนเลย โดยเมือง โยโกฮาม่า (Yokohama) ตั้งอยู่บนอ่าวโตเกียวทางตอนใต้ของโตเกียว โดยในปีค.ศ.1859 โยโกฮาม่า (Yokohama) ได้เปิดท่าเรือภายในเมืองให้เรือจากต่างประเทศเข้ามาทำการค้าในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก จึงเรียกได้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าสากลแห่งแรกของญี่ปุ่นเลย และด้วยการค้าที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ท่าเรือของเมืองกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าต่างประเทศ และการขนส่งทางเรือที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
ด้วยความที่เป็นเมืองท่าใหญ่ มีการเดินเรือเข้าออกเพื่อทำการค้ามากมาย เศรษฐกิจภายในเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ก็เข้าขั้นรุ่งเรืองและเติบโตอย่างก้าวกระโดดแบบขั้นสุด ทำให้บริษัทใหญ่ๆ มาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ภายในเมืองนี้อยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น อีซูซุ (Isuzu) และ นิสสัน (Nissan) อีกทั้งยังเป็นเมืองถิ่นกำเนิดของเบียร์คิริน (Kirin) เบียร์ชื่อดังของญี่ปุ่นที่คอเบียร์หลายคนน่าจะรู้จักกันอย่างดี และที่เบิ้มสุดก็คือ ไชน่าทาวน์ของเมืองนี้ยังใหญ่มากที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย เอ้อ เมืองเค้าไม่ธรรมดานะแกร!
ที่เที่ยวในโยโกฮาม่า (Yokohama)
สำหรับแพลนเที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama) จริงๆ ของก๊อตในครั้งนี้ ทุกคนสามารถมาเที่ยวตามแบบ One Day Trip จากโตเกียวได้เลยนะ แต่ถ้าใครพอมีเวลาเหลือๆ หน่อย นี่ก็อยากจะแนะนำให้นอนค้างที่นี่สักคืน เพราะเราจะได้ตามเก็บที่เที่ยวได้ครบทั้งพิพิธภัณฑ์ ท่าเรือ และสวนสาธารณะ ซึ่งโยโกฮาม่า (Yokohama) นั้นเป็นเมืองท่าที่มีที่เที่ยวเหล่านี้ครบรสเลยแหละ ดังนั้นใครที่ชอบเที่ยวท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ชอบความเมืองที่สกายไลน์เหมือนถูกเซ็ตไว้ แต่ได้ความสโลว์ไลฟ์เดินได้ทั้งวันอยู่ล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้มาลองเที่ยวที่นี่กันดู นี่เอาแพลนเที่ยวมาให้แล้ว สามารถจิ้มเที่ยวตามด้านล่างนี้ได้เลย
วิธีมาเที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama) ด้วยรถสาธารณะ
วิธีเดินทางมาเที่ยวที่โยโกฮาม่า (Yokohama) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นที่มาเที่ยวโซนนี้ มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่โยโกฮาม่า (Yokohama) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้ ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> โยโกฮาม่า (Yokohama)
- รถไฟ (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama) แล้ว เนื่องจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน โดยเราสามารถนั่งตรงมาได้เลยจากโตเกียวได้หลายสถานีเลย ไม่ว่าจะเป็นจากชิบูย่า ชินจูกุ หรือแม้แต่สถานีโตเกียว โดยราคาจะอยู่ราวๆ 310-580 เยน ใช้เวลาประมาณ 20-40 นาที แล้วแต่ว่าเรานั่งมาจากที่ไหนนั่นเอง
- เช่ารถขับ (⭐️⭐️แนะนำ): ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธารณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับที่เราสามารถเช่ารถจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้แล้วแต่เราจะสะดวก โดยข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถขับเที่ยวไปไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลารถสาธารณะ และไม่ต้องเดินเยอะอีกด้วย แต่ทั้งนี้ การเช่ารถก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายของทริปเราที่จะสูงขึ้นมากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถต่อวันเอย (เฉลี่ย 2,000 บาท/วัน) ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่แพงม๊ากกก แต่ถ้าใครชอบเที่ยวแบบโร้ดทริปแต่จ่ายได้ บอกเลยว่าเช่ารถเที่ยวนั้นคือสนุกที่สุดแล้ววว
พิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โยโกฮาม่า (Cup Noodles Museum Yokohama)
สถานที่แรกที่ก๊อตมาเที่ยวในเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) คือ พิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โยโกฮาม่า (Cup Noodles Museum Yokohama) แห่งนี้ในเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) เค้าเป็นพิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยแห่งที่สองเด้อ โดยที่แรกคือ พิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โอซาก้า (Cup Noodles Museum Osaka) ในเมืองอิเคดะ (Ikeda) ทางตอนเหนือของโอซาก้า (Osaka) นั่นเอง โดยพิพิธภัณฑ์ทั้งสองนี้เป็นของบริษัท Nissin Food โดยมีผู้ก่อตั้งและคิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดย โมะโมะฟุกุ อันโด (Momofuku Ando) ซึ่งเค้ามีความคิดริเริ่มที่อยากจะทำราเม็งที่สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้น โดยเค้าได้ลองทำด้วยวิธีต่างๆ อยู่หลายวิธีในเพิงบ้านของเขา ทั้งการเอาเส้นไปตากแห้ง ทอดไล่น้ำมัน และอีกสารพัดวิธีที่จะสามารถถนอมเส้นราเม็งให้เก็บไว้กินได้นานมากที่สุด โดยอันโดเค้าตั้งใจและพยายามทำให้มันสำเร็จ โดยหาวิธีทำแบบขันแข็งและนอนเพียงวันละ 4 ชั่วโมงต่อคืน จนในที่สุดเค้าก็ทำสำเร็จและได้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาขายในปี ค.ศ.1958 โดยตอนนั้นใช้ชื่อน่ารักๆ ว่า “Chicken Ramen” ที่แพ็คขายแบบซองนั่นเอง
ต่อมาอันโดเค้าได้เดินทางไปยังอเมริกา และเริ่มเห็นว่าคนที่นั่นกินบะหมี่ที่ซื้อจากซูเปอร์มาเก็ตด้วยวิธีการหักบะหมี่ลงไปในถ้วยแล้วเติมน้ำร้อนพร้อมใส่เครื่องปรุง ทำให้เค้ารู้สึกว่า เอ้อ มันเจ๋งว่ะ! อันโดเลยนำวิธีการกินบะหมี่แบบนี้มาให้คนญี่ปุ่นได้ลิ้มลอง รวมถึงการได้เข้าถึงการกินบะหมี่ที่ง่ายขึ้นเหมือนที่อเมริกาอีกด้วย โดยในปี ค.ศ.1971 เขาได้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จในถ้วยภายใต้ชื่อแบรนด์ CUPNOODLES ออกมาขายเป็นครั้งแรก และผลตอบรับออกมาคือดีเกินคาดเว่อร์ จนอันโดเค้าได้พัฒนาบะหมี่ของเค้าไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นพัฒนาและทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของตนเองสามารถนำขึ้นไปกินบนอวกาศได้อีกด้วย โดยอันโดใช้ชื่อเก๋ๆ ว่า “Space Ramen” ซึ่งนี่เป็นความสำเร็จอีกขั้นของวงการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วก็ทำให้บะหมี่ของเขาขายดีในท้องตลาดอีกทั้งยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
สำหรับภายใน พิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โยโกฮาม่า (Cup Noodles Museum Yokohama) เค้าจะมีห้องจัดแสดงประวัติของ NISSIN (นิชชิน) ทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเราจะได้เห็นถึงเหล่าบะหมี่ในรูปแบบซอง และแบบคัพที่มีอยู่เยอะมากวางเรียงรายอยู่ในตู้กระจกให้ได้มาไล่ดูกัน ซึ่งเค้าจะจัดวางไล่ไปตามปีที่ผลิตกันเลย ใครที่เดินเข้าร้านพวก 7-Eleven หรือพวก Family Mart ในญี่ปุ่นแล้วเห็นว่ามีพวกเหล่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเยอะจนตาลายแล้ว ถ้าได้เดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์นี้คือเปิดโลกแห่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเว่อร์ เพราะอย่างนิชชินเองเค้ามีหลายร้อยรสชาติวางอยู่เต็มห้องจัดแสดง ซึ่งหากให้เปรียบเทียบความเก๋า ความปังของนิชชินก็คือ ที่ไทยมีมาม่า ที่ญี่ปุ่นมันก็ต้อง NISSIN (นิชชิน) เต๊าอั้นน
สำหรับใครที่ดูนิทรรศการของเค้าแล้วเกิดหิวอยากกินบะหมี่ล่ะก็ ที่ชั้นบนสุดของตึกเค้ามีฟู้ดคอร์ทเปิดให้เราได้โซ้ยบะหมี่กันด้วยนะ โดยร้านรวงที่ขายส่วนใหญ่เค้าอิงเอาบรรยากาศและเมนูมาจากหลากหลายประเทศในเอเชีย ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซียให้ได้เลือกซื้อกินกัน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีของประเทศไทยด้วยกับ บะหมี่ต้มยำกุ้ง พร้อมกับพุดดิ้งมะม่วง ซึ่งรสชาตินั้นว่ากันตามตรงอย่าด่ากันเลย รสชาติคือไม่ได้แซ่บเหมือนของคนไทยทำที่เรากินๆ กัน 55555555
เออ แต่บรรยากาศนี่คือต้องยอมให้แบบเน้นมากินเอาฟีล เอาบรรยากาศแบบนั้นไป เพราะแต่ละร้านเค้าก็จะตกแต่งให้เป็นธีมๆ ของประเทศนั้นๆ อย่างของไทยนั้นก็มีความงงคือเป็นร้านบะหมี่ แต่เอาเหล่าโปสเตอร์ภาษาไทยมาแปะ รวมถึงเหมือนมีผ้าใบเมนูร้านส้มตำมาแขวนไว้ด้วย ถือว่าทำการบ้านมา แต่ได้คะแนนครึ่งเดียว 5555555
ไฮไลท์เด็ดของพิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โยโกฮาม่า (Cup Noodles Museum Yokohama) คือการมานั่งทำเวิร์คช็อป My Cupnoodles Factory ซึ่งเราจะได้ลองครีเอทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงคัพของตัวเอง เริ่มจากไปหยอดเงินกดถ้วยคัพในตู้กันก่อน ราคาจะอยู่ที่ 500 เยน (~120 บาท) จากนั้นเอามาระบายสีให้หนำใจตามสไตล์และความครีเอทของตัวเอง จากนั้นนำไปให้พี่ที่เคาท์เตอร์ใส่ก้อนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงไป พร้อมให้เราเลือกท็อปปิ้งประมาณ 3 อย่าง จากนั้นเค้าก็จะซีลคัพนูดเดิลส์ของเราให้แบบเรียบร้อย และเราก็จะได้ถ้วยคัพนูดเดิลส์ถ้วยเดียวของโลกที่ออกแบบโดยเรากลับบ้านไปเลย
นี่ยกให้เค้าเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่กิ๊บเก๋มาก นอกจากการมานั่งครีเอทถ้วยบะหมี่แล้ว ที่นี่เค้ายังมี Cupnoodles Park ที่ภายในจำลองการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ให้ได้เข้ามาดูด้วยนะ คือนอกจากจะได้มาเรียนรู้ประวัติและที่มาของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเค้าแล้ว เรายังรู้สึกเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปกับกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ซึ่งใครที่อยากมาที่นี่เค้ามีค่าเข้าด้วยเด้อ ราคาถือว่าดีงาม ค่าเข้าเริ่มต้นเพียงแค่ 500 เยน (~120 บาท) นะจ๊า ใครที่เป็นสายกินเส้นบอกเลยว่าต้องมาแล้วว
โกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse)
เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์คัพนูดเดิลส์ โยโกฮาม่า (Cup Noodles Museum Yokohama) ไม่ไกลมาก จะมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองที่ต้องมาเลยคือ โกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) อาคารอิฐสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่สองหลังที่ตั้งสง่าอยู่บริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวของเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ที่คนเค้าชอบเดินมาถ่ายรูปชิคๆ คู่กับตัวอาคารแล้วโพสต์ลงโซเชียลกันให้แซ่ด แต่เผื่อใครที่ยังไม่รู้ ก๊อตจะบอกว่าโกดังสองหลังนี้เค้าเคยเป็นอาคารที่ใช้เป็นด่านศุลกากร ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาเป็นอาคารคอมเพล็กซ์อย่างในปัจจุบันที่ภายในเป็นห้างสรรพสินค้าที่ขายของเก๋ๆ ฮิปๆ ห้องจัดเลี้ยง และสถานที่จัดงานอีเวนท์ให้คนในเมืองเค้าได้มาใช้งาน
โกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) เป็นอาคารอิฐสีแดง 2 หลังที่สร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยอาคารหลังแรกถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1911 และอาคารหลังที่สองถูกสร้างขึ้นมาภายหลังในปี ค.ศ.1913 เพื่อใช้เป็นแหล่งเคลื่อนย้ายสินค้าเข้า-ออกของท่าเรือโยโกฮาม่าในขณะนั้น จนกระทั่งในปีค.ศ.1923 ที่เมืองเค้าเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ส่งผลให้อาคารต่างๆ ภายในเมืองได้รับความเสียหาย แต่ความแรงของการสั่นสะเทอนนั้นไม่ส่งผลใดๆ ต่อ โกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) เนื่องจากโครงสร้างของอาคารเสริมด้วยเหล็กที่ฝังอยู่ระหว่างก้อนอิฐอันแกร่งกล้านั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นทางเมืองเค้าก็ไม่ได้วางใจ และยังได้ซ่อมแซมปรับปรุงอาคารกันมาเรื่อยๆ จนเมื่อปีค.ศ.1930 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารทั้งสองหลังถูกทางการอเมริกาเข้ามายึดครองอำนาจเอาไว้ (ปีค.ศ.1945-1956) ก่อนจะส่งคืนให้กับทางญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งญี่ปุ่นเองพอได้อาคารกลับคืนมาสู่อ้อมกอดอีกหน เค้าก็ยุติบทบาทหน้าที่ของอาคารในการเป็นด่านศุลกากรทางเรือทิ้งไป และได้มีการปรับปรุงอาคารเพิ่มเข้าไปอีก จนมาเปิดเป็นคอมเพล็กซ์เมื่อปี ค.ศ.2002 ดั่งที่เราเห็นปัจจุบันนี่แหละ
ภายใน โกดังอิฐสีแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) เหมือนเราเดินอยู่ห้างที่บ้านเรา แต่ความพิเศษเลยคือบรรยากาศมันเหมือนเราเดินเลือกซื้อของอยู่ในโกดังที่ตกแต่งสวยๆ มีกลิ่นอายความเก่าคลาสสิกและมีประวัติศาสตร์ ซึ่งใครที่ชอบพวกสินค้ายูนีคๆ แบบไม่ค่อยซ้ำกับแบรนด์ทั่วไป มาที่นี่มีช้อปกันเพลิน เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ขายกันตั้งแต่ของตกแต่งบ้าน ของใช้ ของจิปาถะตั่งต่าง นอกจากนี้ชั้นล่างของเค้ายังมีฟู้ดคอร์ท รวมถึงบาร์อยู่กว่า 50 ร้านให้ได้นั่งกันด้วย และถ้าใครช้อปปิ้งเสร็จแล้ว ข้าวก็กินตุนมาจนแน่นท้องแล้วให้ลองเดินขึ้นไปบนชั้นสามแล้วเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอกดู เราจะได้ดูวิวสกายไลน์เมืองแบบเต็มสายตา นี่ว่าตรงนี้มันเป็นอีกหนึ่งจุดที่ดูวิวเมืองได้แบบส๊วยยย
ทางเดินยกระดับ Yamashita Rinko Line Promenade
จุดหมายต่อไปของก๊อตคือการไปนั่งชิลๆ ที่ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Terminal) เพื่อรอเวลาไปดูกันดั้มในตอนท้าย ซึ่งระหว่างทางจากโกดังแดงที่เราเดินออกมาเมื่อครู่ เราต้องเดินเรียบมาตามแนว ทางเดินยกระดับ Yamashita Rinko Line Promenade ความยาวกว่า 500 เมตร ที่ตอนแรกก็กะจะเดินผ่านปกติ แต่พอได้เห็นวิวสองข้างทางแล้วถึงกับบอกตัวเองว่า ‘เอ้อ วิวเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) เค้าสวยจริงว่ะ’
ทางเดินยกระดับ Yamashita Rinko Line Promenade เป็นสะพานทอดยาวไปตามแนวท่าเรือโอซันบาชิ และฝั่งเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ความปั๊วะของเค้าที่ทำให้ก๊อตถึงกับต้องแวะถ่ายรูปมาฝากทุกคนคือ บรรยากาศที่เหมือนถูกแยกออกเป็นสองมู้ด ทั้งความสงบด้วยวิวของท่าเรือเล็กกับอ่าวโยโกฮาม่าท่ามกลางลมพัดเย็นๆ ตัดกับวิวเมืองด้านหลังที่ห้อมล้อมไปด้วยดงอาคารและบ้านเรือน ซึ่งเมื่อเราเดินมาถึงปลายทางเดินยกระดับแล้ว ก๊อตอยากให้ทุกคนลองหยุดแล้วมองย้อนกลับไปยังจุดที่เราเดินมา แกรเอ้ยความสวยเมื่อครู่ที่เจอมาเหมือนปลดล็อกสกิลความสวยของเมืองนี้ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยภาพวิวสกายไลน์เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ห้อมล้อมอ่าวเอาไว้โดยมีท้องฟ้าเป็นฉากหลังท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นละมุนๆ ที่เรามองกันได้แบบพาโนราม่าแม้ว่าจะไม่ได้ยืนอยู่บนตึกสูง แต่กลับได้ดูวิวที่สวยตรึงตาชนิดที่ว่าแค่หยุดเดินแล้วมองย้อนกลับไปก็ได้รับความจรรโลงใจกลับมาแบบสุดๆ ไปเล้ย
ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Terminal)
เดินเล่นเอื่อยๆ แล้ว เรามานั่งกินลมชมวิวเมืองกันต่อที่ ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Terminal) ท่าเรือเฟอร์รี่ยาว 400 เมตร ที่โดดเด่นด้วยการเนรมิตพื้นที่ด้านบนของท่าเรือให้กลายมาเป็นพื้นที่สีเขียวสาธารณะอีกแห่งของเมืองที่คนเค้าชอบมานั่งเปื่อยๆ กินลมชมวิวกันพอสมควรเลย
ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Terminal) ตั้งอยู่ระหว่างย่านมินาโตมิไร (Minato Mirai) และสวนยามาชิตะ (Yamashita Park) เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ให้เรือสำราญจากนานาชาติเข้ามาจอดเทียบท่าเมื่อมายังเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) โดยท่าเรือแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1894 และถูกรีโนเวทใหม่ในปี ค.ศ.2002 โดยเปิดเป็นท่าเรือเหมือนเดิมแต่เพิ่มเติมความเก๋ด้วยพื้นที่สวนสาธารณะด้านบนเข้ามาด้วยนั่นเอง
สวนที่เล่าไปนี้ คือที่ที่เราตั้งใจมากันเลย โดยบรรยากาศทั่วไปมันเหมือนสวนสาธารณะเบาๆ ที่มีสนามหญ้า และลานกว้างให้ได้มานั่งเล่น ซึ่งดีไซน์สวนและทางเดินที่เห็นกันนี้เค้าสร้างขึ้นให้มีเส้นสายเลียนแบบเกลียวคลื่นด้วยเด้อ ว่าไปไม่ได้สร้างกันเล่นๆ นา ซึ่งพอมายืนเล่นอยู่บนสวนเค้าแล้ว บอกตามตรงถ้าไม่บอกว่าเป็นท่าเรือ นี่คิดว่าตัวเองอยู่ในสวนสาธารณะ ที่แม้จะไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่มาปลูกล้อมเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าสนามหญ้าที่มาเป็นเนินขนาดนี้จะสร้างอยู่บนท่าเรือเอ้า ก๊อตละชอบไอเดียในการแซมพื้นที่สีเขียวเข้ากับเมืองของเค้ามาก อ้อ และสำหรับใครที่อยากมาดูวิวเมืองแบบแจ่มๆ ว่ากันว่าท่าเรือนี้เป็นหนึ่งในจุดที่ดีที่สุดของเมืองสำหรับมาเดินเล่นและชมวิวเส้นขอบฟ้าเมืองแบบไร้สิ่งก่อสร้างกีดขวางด้วยนะ ซึ่งจากจุดที่ก๊อตยืนอยู่มันสามารถมองเห็นกันดั้มที่เที่ยวต่อไปของเราอยู่ไม่ไกลด้วย
สวนยามาชิตะ (Yamashita Park)
จาก ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Terminal) ปลายทางต่อไปคือการไปดูกันดั้มตัวยักษ์ ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงนั้น คือเราต้องเดินผ่าน สวนยามาชิตะ (Yamashita Park) สวนสาธารณะขนาดย่อมๆ ที่เค้าสร้างขึ้นหลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโตในปีค.ศ. 1923 กันบ้าง สวนสีเขียวที่ยาวเพียง 750 เมตร ทอดยาวไปตามแนวอ่าวโยโกฮาม่า (Yokohama Bay) ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ และกลิ่นอายของธรรมชาติที่ภายในเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสัน และต้นไม้เขียวๆ รวมถึงมีมุมม้านั่งให้ผู้คนได้มานั่งทิ้งตัวปล่อยใจจอยๆ ไปกับวิวของแม่น้ำที่อยู่เบื้องหน้าอีกด้วย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
แต่ไฮไลท์ของสวนที่เตะตาเรามาแต่ไกลเลยคือ เรือลำยักษ์ที่ลอยเทียบท่าอยู่ตรงข้ามสวนยามาชิตะ (Yamashita Park) ที่มองแวบแรกภาพของเรือไททานิกก็ลอยแวบเข้ามาในหัวทันที โดยเรือลำนี้เค้าคือเรือฮิคาวะมารุ (Hikawa Maru) เรือเดินสมุทรของญี่ปุ่นที่ถูกนำเข้าประจำการครั้งแรกในปี ค.ศ.1930 ภายในเรือเค้ามีห้องโดยสารระดับเฟิร์สคลาสที่ในสมัยนั้นมันคงฟู่ฟ่าและโด่งดังอยู่มากๆ แน่นอน เพราะว่ากันว่าคนที่ลงเรือในช่วงนั้นต่างก็มีแต่คนใหญ่คนโต คนดังกันทั้งสิ้นโดยเรือลำนี้เค้าก็โลดแล่นไปบนท้องทะเลเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี จนในปี ค.ศ.1960 ที่เหมือนทางการเค้าคงอยากให้เรือลำนี้ได้กลับบ้านมาพักผ่อนยาวๆ เพราะได้มีการสั่งให้ปลดระวางเรือและได้ปรับปรุงเรือให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ซึ่งภายในก็จัดแสดงถึงข้อมูลการเดินเรือในตลอดระยะเวลาที่ประจำการ แต่ที่เห็นป๊อบมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวคือคนเค้าตั้งใจมาดูสภาพภายในของเรือที่ยังคงสภาพให้ใกล้เคียงกับเรือที่เพิ่งเข้าประจำการในช่วงแรกๆ มันเหมือนคนเค้าได้มาย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงปี ค.ศ.1930 อีกครั้งงี้
แต่บอกกันก่อนว่าก๊อตไไม่ได้เข้าไปด้านในเรือ นี่เลยทำเพียงแค่ยืนถ่ายรูปเล่นด้านนอกแทน ซึ่งฟีลมันโอ่อ่ายิ่งใหญ่เอาเรื่อง นี่ว่าเป็นจุดถ่ายรูปที่เท่ดีเลยแหละ เพราะในญี่ปุ่นเราก็ไม่ค่อยได้เห็นเรือหน้าตาแบบนี้มาจอดให้ได้ถ่ายกันใกล้ๆ อยู่แล้วไหมเล่า
Gundam Factory Yokohama
Gundam Factory Yokohama แลนด์มาร์คใหม่ที่กลายเป็นจุดหมายที่ทุกคนอยากมาดูมากที่สุดตอนนี้ในเมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ใครเป็นแฟนคลับกันดั้มนั้นพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ยิ่งใครที่จินตนาการไปถึงกันดั้มตัวเป็นๆ แล้วล่ะก็ยิ่งต้องมา เพราะมาที่นี่เราจะได้มาเห็นกันดั้ม RX-78F00 ขนาดเท่าตัวจริงที่สูงถึง 18 เมตร หนักกว่า 2,500 กิโลกรัม มายืนโชว์ตัวและขยับไปมาในท่วงท่าต่างๆ ที่นี่เห็นเองครั้งแรกยังตาค้างไปเลยกับความสมจริงของเค้า
⚡️ สิ่งที่ต้องรู้เลยคือตอนนี้ Gundam Factory Yokohama จะมีอยู่ชั่วคราวเท่านั้น โดยข่าวล่าสุดเค้าจะจัดถึงวันที่ 31 มีนาคม 2024 เท่านั้น จากตอนแรกที่เลิกจัดตอนปี 2023 แล้ว แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่นเองก็พึ่งเปิดประเทศให้คนได้เข้ามาเที่ยวได้ไม่นาน หลายคนก็ต่างเรียกร้องให้ขยายเวลาออกไปอีก ซึ่งเค้าก็ขยายเวลาให้แล้วมาหนึ่งปี แต่ทีนี้เค้าจะขยายเวลาอีกทีมั้ย ก๊อตแนะนำให้ลองเสิร์จข้อมูลอัพเดทเค้าอีกทีเด้อ
บัตรเข้าชม Gundam Factory Yokohama
สำหรับราคาตั๋วเข้าชมแบบธรรมดาจะอยู่ที่ 1,650 เยน (~400 บาท) ซึ่งเราสามารถเดินดูได้แค่รอบๆ บริเวณด้านล่างของตัวกั้นดั้มเท่านั้น แต่ถ้าใครมาแล้วอยากไปจะพิชิตกันดั้มขั้นสุดแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ Gundam-Dock Tower ไปเลย เพราะตั๋วราคา 3,300 เยน (~800 บาท) ใบนี้สามารถเสกความฝันในการเห็นกันดั้มตัวจริงแบบใกล้ๆ บนจุดชมวิวด้านบนในระยะเผาขนให้กับเราได้เลย ใครที่จะซื้อแพ็ค Gundam-Dock Tower ผ่าน Klook แทน เพราะราคาออนไลน์นี้กว่าหน้าร้านนะเออ
ทั้งนี้ส่วนตัวก๊อตขอซื้อตั๋วแบบแรกก็เพียงพอแล้ว โดยความน่ารักในตอนซื้อบัตรคือไม่ว่าเราจะซื้อบัตรราคาไหนเค้าจะให้ตัวต่อกันดั้มตัวจิ๋วๆ ฟรีมาด้วย 1 ตัว และเราสามารถใช้เวลาอยู่ด้านในได้นานตราบเท่าที่ใจต้องการ แกรจะมาตั้งแต่เช้าแล้วอยู่ยาวๆ ไปยันเย็นก็ได้ ไม่มีใครมาว่าแน่นอน
ไฮไลท์ที่มาดูเลย คือ เจ้ากันดั้ม RX-78F00 สีขาวตัวโคตรใหญ่ที่ยืนจังก้าอยู่บนแท่นควบคุม ซึ่งทุกๆ 30 นาที (สังเกตเวลาได้จากนาฬิกาจับเวลาข้างๆ ไหล่กันดั้มนะ เค้าจะมีเวลานับถอยหลังเวลาที่จะแสดงรอบต่อไป) พี่เค้าจะทำการแสดงที่เรียกว่า Moving Gundam ด้วยการขยับตัวเดินออกมาข้างหน้าจากแท่นควบคุม หรือนั่งคุกเข่าลงพื้น ชี้นิ้วขึ้นฟ้าสลับกันไปในระยะเวลาแสดง 8-11 นาที ซึ่งแต่ละท่าทางที่เราเห็นเค้าแสดงนั้นก็มาจากท่าทางของกันดั้มที่แสดงอยู่ในซีรีส์จริงๆ เลย อันนี้คือเริ่ดมากเพราะของจริงมันอลังการมากกก กันดั้มตัวโคตรใหญ่เลย แล้วจังหวะที่เราต้องเงยหน้าแหงนคอกันสุดฤทธิ์เพื่อมองตัวกันดั้มให้เต็มสองตานั้น ความรู้สึกในคือเหมือนโลกเรามันมีกันดั้มตัวจริงมายืนอยู่ตรงหน้า นี่ยังแอบคิดกับตัวเองว่า ‘เออ กันดั้มตัวจริงๆ ถ้ามาอยู่โลกเราคงเป็นแบบนี้สินะ มาตัวใหญ้แท้น้ออ 55555’
ตรงข้ามที่กันดั้มยืนแสดงอยู่เค้ามีช็อปเป็นทางการของ Gundam Factory Yokohama ที่ข้างในขายกันดั้มจากคอลเลคชั่นต่างๆ อยู่เพียบ โดยความพิเศษของช็อปที่นี่ก็คือจะมีตัวลิมิเต็ดเอดิชั่นที่ขายเฉพาะที่นี่ด้วย ซึ่งแต่ละตัวราคาดีงามมาก นี่สอยมา 3 ตัว ราคาหลักร้อยบาทเอง นอกจากนี้เค้ายังมีโซนอคาเดมีให้ได้มาศึกษาและเรียนรู้ถึงกระบวนการพัฒนาของการแสดง Moving Gundam รวมไปถึงการออกแบบ โครงสร้าง และกลไกผ่านทั้งการแนะนำจากหุ่นยนต์ และวิดีโอ รวมถึงมุมจำลองการทำงานของผู้สร้างที่กว่าจะมาเป็นโชว์กันดั้มอันสมบูรณ์แบบนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง อันนี้ก๊อตชอบมากเพราะมันมีหุ่นยนต์มานั่งต่อกันดั้มตัวจิ๋วให้ดูกันใกล้ๆ และได้เห็นแท่นใส่ตัวกันดั้มพร้อมกลไลการทำงานต่างๆ ในเวอร์ชั่นที่ย่อส่วนลงมานั่นเอง
ถ้าใครช้อปปิ้งจนจุใจแล้วรู้สึกท้องร้องขึ้นมา ตรงข้ามช็อปจะมีฟู้ดทรัคมาจอดขายให้ได้ซื้อของกินมานั่งกินกันในลานกว้างที่มีโต๊ะ-เก้าอี้วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งใครที่กินเสร็จแล้วจะไปดูโชว์กันดั้มต่อก็ยังได้ เพราะก๊อตก็เดินวนไปมาแบบนี้เช่นกัน ฮ่าๆ และนี่ก็อยู่ดูยาวๆ ไปเรื่อยๆ จนค่ำเลย ซึ่งช่วงเวลาที่ดีในการมาที่นี่ที่ก๊อตแนะนำเลยคือตอนเย็นไปหาค่ำ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดินนี่ว่ามันสวยกว่าตอนกลางวันเยอะมาก ยิ่งพอฟ้าเริ่มมืดนะ บนตัวกันดั้มเค้าจะมีไฟประดับแล้วส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ เพิ่มความอลังการขึ้นไปอี๊ก ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสีทองๆ ที่ค่อยๆ จมหายไปกับเส้นขอบฟ้านะและดงตึก พร้อมกับกันดั้มตัวยักษ์ที่กำลังเคลื่อนไหว คือมันสวยอย่างกับภาพในอนิเมะของแท้เลยแหละ
สรุปการเที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama)
สรุปแล้วกับการมาเที่ยวที่เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) ของก๊อตในครั้งนี้ ส่วนตัวนี่ประทับใจเมืองนี้ม๊ากกก ฟีลเมืองเค้ามันน่ารักหนุบหนับเหมือนเราเดินเที่ยวอยู่ในเมืองที่ถูกวางผังเมืองมาอย่างดี อาคารของเมืองเค้ามันเหมือนถูกเซตขึ้นมาก่อนสร้าง แบบว่าพอตึกและอาคารทุกอย่างมันสร้างเสร็จและอยู่รวมกันแล้ว หากทุกคนได้ลองมายืนดูวิวเมืองของเค้าจะเห็นว่าทุกอย่างมันช่างเข้ากันได้อย่างลงตัวและเสริมให้มู้ดของเมืองมันช่างดูน่ารักและสวยงามในเวลาเดียวกัน แถมบรรยากาศของเมืองเค้าก็เงียบสงบๆ สถานที่เที่ยวแต่ละแห่งอยู่ไม่ไกลกันมาก เราสามารถเดินเที่ยวกันได้ทั้งวัน บอกเลยว่าใครที่ชื่นชอบเมืองบรรยากาศสบายๆ อากาศดีๆ ฟีลมาเที่ยวจริงๆ แบบไม่เร่งรีบ เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) คือตอบโจทย์มาก และใครที่เป็นแฟนของบะหมี่ของคัพ นูดเดิลส์ (Cup Noodles) และกันดั้มที่จะจัดแสดงถึงแค่ปีหน้า (ปี 2024) เท่านั้น ยิ่งห้ามพลาดเมืองนี้เลย จดลงลิสต์เที่ยวญี่ปุ่นด่วน
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡