นิวยอร์ก (New York City) ในที่สุดมหากาพย์เที่ยวอเมริกาคนเดียวครั้งแรกในชีวิตของก๊อตก็ปล่อยเมืองใหม่แล้วจ๊า ฮิ้วว ปรบมือกันเร้ววว ฮี่ๆ บอกก่อนเลยว่านิวยอร์กเป็นเมืองในฝันของก๊อตเลยนะ แบบตั้งเป้าเอาไว้ในชีวิตเลยว่า ‘ชีวิตนี้ต้องมาเหยียบที่กลางไทม์สแควร์ (Times Square) สักครั้ง’ แน่นอนว่า รีวิวนี้เราได้มาเหยียบเป็นที่เรียบร้อยแล้วจ๊า ซึ่งทริปเที่ยวอเมริกานี้ มันเป็นอีกทริปที่ก๊อตไปมาตั้งแต่ช่วงปี 2021 ที่นี่ไปคนเดียว และเที่ยวยาวๆ ถึง 48 วันเลย
ซึ่งการมาเที่ยวที่นิวยอร์ก (New York City) ก๊อตจะพาทุกคนไปตามเก็บแลนด์มาร์ค ที่เที่ยวต่างๆ กันแบบจัดเต็ม ตลอดระยะเวลา 8 วัน ทั้งไปดูตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ไปถ่ายรูปชิคๆ ที่สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ไปเดินเล่นในย่านดัมโบ้ (DUMBO) สุดคูล และถ้าใครได้อ่านข้อมูลหรือรีวิวเมืองนี้ผ่านตามาแล้วบ้าง จะเห็นได้เลยว่า นิวยอร์ก (New York City) นั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ระดับตัวท็อปในทุกแขนงแบบเวิลด์คลาสอยู่เต็มเมืองเลย ไม่ว่าจะเป็น The Met, MoMa, American Museum of Natural History และ The National September 11 Memorial Museum และยังมีที่อื่นๆ อีกเพียบ แบบที่สายมิวเซียมมาเมืองนี้แล้ว ไม่อยากไปไหนกันต่อเลยเด้อ
นอกจากนี้ นิวยอร์ก (New York City) ยังเป็นเมืองที่มีตึกสูงระฟ้าตั้งอยู่เยอะมาก ซึ่งนี่ก็ไปตามเก็บวิวมุมสูงจากหลากหลายตึกมาฝากให้ได้ชมกัน บอกเลยว่าสกายวิวของที่นี่คือนัมเบอร์วันในใจ ที่แม้เวลาจะผ่านมาแค่ไหน ก๊อตก็ยังยกให้วิวของนิวยอร์ก (New York City) เป็นที่หนึ่งเสมอมา เกริ่นกันมาขนาดนี้ มาตามอ่านรีวิวเต็มๆ ไปด้วยกันเร้วว นี่ตั้งใจเขียนมาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังอยากก้าวขาออกจาก Comfort Zone และพาตัวเองไปเที่ยว ไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ มาเที่ยวนิวยอร์ก (New York City) ไปด้วยกันนะครับ
ทริปอเมริกาครั้งแรก #อเมริกาคนเดียว
ในที่สุดก๊อตก็ได้มาเที่ยวอเมริกากับเค้าสักที นี่คือการเที่ยวอเมริกาครั้งแรกของก๊อต และยังเป็นการเที่ยวคนเดียวอีกด้วย ตื่นเต้นสุดๆ ทริปนี้ก๊อตไปเที่ยวมาทั้งหมด 48 วัน เริ่มตั้งแต่ Chicago - San Francisco - Paciffic Coast Highway Road Trip (Monterey, Carmel-By-The-Sea, Big Sur, Morro Bay, Santa Barbara) - Los Angeles - San Diego - Joshua Tree National Park - Death Valley National Park - Yosemite National Park - Washington D.C. - New York City เป็นการเที่ยวแบบจัดเต็มมาก ก๊อตแบ่งรีวิวไว้ทั้งหมด 15 EP ด้วยกัน ใครที่กำลังแพลนว่าจะไปเที่ยวอเมริกาก็สามารถเที่ยวตามก๊อตได้เลยเด้อ
EP.0 - USA Travel 101 กำลังเขียน
EP.0 (2) – 8 เหตุผล ทำไมต้องไปเที่ยวอเมริกาซักครั้งในชีวิต
EP.1 - Chicago
EP.2 - San Francisco กำลังเขียน
EP.3 - Pacific Coast Highway : Monterey + Carmel-By-The-Sea กำลังเขียน
EP.4 - Pacific Coast Highway : Big Sur กำลังเขียน
EP.5 - Pacific Coast Highway : Morro Bay + Santa Barbara กำลังเขียน
EP.6 - Los Angeles
EP.7 - Universal Studios Hollywood
EP.8 - Disneyland Park
EP.9 - Disney California Adventure Park
EP.10 - San Diego กำลังเขียน
EP.11 - Joshua Tree National Park
EP.12 - Death Valley National Park กำลังเขียน
EP.13 - Yosemite National Park กำลังเขียน
EP.14 - Washington D.C. กำลังเขียน
EP.15 - New York City
แพลนเที่ยวนิวยอร์ก (New York City)
มาทำความรู้จักนิวยอร์ก (New York City / NYC) กันก่อน
ก่อนจะไปเที่ยวนิวยอร์กกันแบบจัดเต็ม 8 วัน เรามาทำความรู้จักกับมหานครนิวยอร์ก (New York City) กันก่อน หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ‘นิวยอร์ก’ นั้นเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอเมริกาในปี ค.ศ. 1785-1790 ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปที่ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) และที่สุดท้ายกับ วอชิงตัน ดีซี (Washinton D.C.) ในปี ค.ศ. 1800 ซึ่ง จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาในช่วงที่นิวยอร์กเป็นเมืองหลวงอีกด้วย นอกจากนี้รัฐนิวยอร์กเองยังเป็นรัฐที่มีคนอาศัยอยู่มากเป็นที่สุดอันดับ 4 ของประเทศ รองมาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐเท็กซัส และรัฐฟลอริดา และเพียงแค่เมืองนิวยอร์ก (New York City) เองอย่างเดียวก็มีประชากรคิดเป็น 40% ของทั้งหมดในรัฐนี้แล้ว และแน่นอนว่านิวยอร์กเองยังยิ่งใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก คือมีทั้งวอลสตรีท (Wall Street) ที่เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ อีกด้วยน้า
สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา ใครที่มานิวยอร์กก๊อตเชื่อว่าหลายคนนั้นอยากมาดูความยิ่งใหญ่ของเมือง และตึกสูงบ้านเค้า เพราะที่นี่เหมือนแหล่งรวมตึกสูงที่เคยเป็นตำนานครองแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลกเอาไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นตึกในตำนานอย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ที่ตอนนี้กลายเป็นตึกไอคอนิคของป๊อปคัลเจอร์อเมริกา และยังเคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลกยาวนานกว่า 40 ปี นอกจากนี้ นิวยอร์กเค้ายังมีพิพิธภัณฑ์ระดับโลก และสวนสาธารณะอย่างเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ทุกอย่างที่บอกมานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในเมืองนิวยอร์กทั้งหมดเลยเว้ย
หลายคนคงนึกมู้ดของนิวยอร์กออกในมุมที่แสง สี เสียง ที่โคตรจัดจ้าน ราวกับทั้งมหานครไม่เคยหลับใหล ซึ่งมันก็จริงแหละ 5555 คือนิวยอร์กมันฟู่ฟ่า โออ่าไปแทบทุกตารางเมตร แต่เชื่อก๊อตเถอะว่าการมาเที่ยวนิวยอร์กจริงๆ มันมีหลายอย่าง หลายมู้ดที่ซ่อนเอาไว้ให้เราได้มาเที่ยวและค้นหา ซึ่งเสน่ห์ของนิวยอร์กที่ก๊อตว่าต่างออกไปจากเมืองอื่นๆ ในอเมริกาค่อนข้างมาก เพราะนอกจากมันจะอลังการฟู่ฟ่าแล้ว นิวยอร์กเองยังมีเรื่องเล่า มีเรื่องราวประวัติศาสตร์จากยุคสมัยในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ที่มาแล้วอยากจะกลับมาเที่ยวซ้ำๆ ให้หนำใจกันไปเลย ว่าความกันมาเยอะแล้ว เรามาเที่ยวนิวยอร์กไปด้วยกันเถอะน้าา!
การเดินทางภายในเมืองนิวยอร์ก (New York City)
การเดินทางภายในนิวยอร์ก วิธีที่ง่ายที่สุดเลยก็คือ การใช้รถไฟใต้ดินหรือ Subway ในเมืองของเค้านี่แหละ ซึ่งรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก ถือเป็นระบบรถรางที่เก่าแก่และใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีทั้งหมด 26 สาย แบ่งสายเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข และตัวรถไฟใต้ดินเค้ายังเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์อีกด้วย เรียกได้ว่า การเที่ยวนิวยอร์กของก๊อตในรอบนี้ คือใช้รถไฟใต้ดินล้วนๆ เลย
ราคาค่าโดยสาร Subway / รถเมล์ และบัตร MTA MetroCard
การขึ้น Subway และรถเมล์ในนิวยอร์กนั้น เราต้องใช้ MTA MetroCard ซึ่งเราสามารถซื้อแบบ Pay-Per-Ride MetroCard (เสียเงินเป็นเที่ยว) ได้ ซึ่งบัตรนี้มันจะเป็นบัตรแบบเติมเงินได้ โดยค่าธรรมเนียมออกบัตรจะอยู่ที่ $1 และสามารถเติมเงินได้เรื่อยๆ โดยค่าโดยสารเค้าจะคิดเป็นรายเที่ยว เที่ยวละ $2.75 โดยหนึ่งเที่ยวที่เสียเงินไปในครั้งแรกนั้น เราสามารถต่อรถไฟใต้ดินสายอื่น หรือรถเมล์ได้ฟรีภายในเวลา 2 ชั่วโมงได้ด้วย
และที่แปลกของ Pay-Per-Ride MetroCard มันสามารถใช้ได้สูงสุด 4 คนในการ์ดเดียว (เอ้อ แปลกมาก) ก็คือ เมื่อคนแรกรูดบัตรเข้าไปแล้ว ให้ส่งต่อบัตรมายังคนต่อมาเพื่อรูดเข้าได้อีก 3 คน ซึ่งความดีงามของมันคือ ถ้าเราใช้บัตรร่วมกัน เราสามารถประหยัดเงินค่าธรรมเนียมออกบัตรใหม่ได้สูงสุด $3 เล้ย 5555
อีกเรื่องที่อยากบอกคือ มันจะมีบัตรอีกแบบคือ Single Ride MetroCard ที่ซื้อเพื่อขึ้นรถ Subway แบบใช้แล้วทิ้งเลย อันนี้ คือโดยสารจะอยู่ที่ $3 ซึ่งแพงกว่าแบบบัตรเติมเงิน Pay-Per-Ride MetroCard นะ ซึ่งก๊อตแนะนำว่า ให้เราซื้อแบบบัตรเติมเงินดีกว่า เพราะโดยรวมแล้วมันถูกกว่าซื้อแบบ Single แน่นอน
Unlimited MetroCards
สำหรับคนที่คิดว่าต้องเดินทางด้วย Subway เยอะม๊าก เค้าก็มีตัวเลือกบัตรโดยสารแบบ Unlimited MetroCards ให้เราเลือกใช้ทั้งแบบ รายอาทิตย์ และรายเดือนด้วย ทั้งนี้ ก๊อตจะขอพูดเฉพาะแบบรายอาทิตย์ ถ้าใครที่เที่ยวในนิวยอร์กภายใน 7 วัน แล้วต้องขึ้น Subway มากกว่า 12 แนะนำให้ซื้อบัตร Unlimited MetroCards ได้เลย ซึ่งราคาบัตรเค้าจะอยู่ที่ $33 และใช้ได้แบบไม่จำกัดทั้ง Subway และรถเมล์ (ยกเว้น JFK AirTrain, Express buses และ PATH trains)
ใช้พาสต่างๆ สำหรับเที่ยวนิวยอร์ก คุ้มกว่า!
สำหรับคนที่ต้องการเก็บที่เที่ยวในนิวยอร์กเยอะๆ โดยเฉพาะพวกเหล่าพิพิธภัณฑ์ หรือจุดชมวิวบนตึกดังต่างๆ ที่ราคาตั๋วเข้าชมแต่ละที่ โดยเฉพาะจุดชมวิว Observation Deck นั้นแพงม๊าก ซึ่งถ้าใครอยากเก็บแลนด์มาร์คเยอะในราคาที่ประหยัดกว่าปกติ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อพาสเหมาเที่ยวจะถูกกว่ามากกก ซึ่งในนิวยอร์กเองนั้น มีพาสหลายตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Go City All-Inclusive Pass และ Klook Pass โดยแต่ละแบบก็จะมีแพ็คเกจแตกต่างกันออกไป ซึ่งอันนี้ เราต้องมาดูแพลนเที่ยวตัวเองกันก่อนว่าจะมีไปไหนบ้าง จากนั้นค่อยไปแมชเข้ากับพาส ว่าเราเหมาะกับพาสไหน และประหยัดกว่าการซื้อบัตรแยกเดี่ยวๆ ไหม ซึ่งอันนี้ก๊อตแนะนำให้เราทำตารางเปรียบเทียบกันเองเลย เพราะแน่นอนว่าแพลนแต่ละคนไม่เหมือนกันเนอะ
Go! New York Pass: All-Inclusive (เหมาเป็นวัน คุ้มสำหรับคนเน้นเก็บที่เที่ยวมากที่สุด – ก๊อตใช้พาสนี้ในรีวิวนี้)
สำหรับคนที่เน้นอยากเก็บแลนด์มาร์คเยอะ โดยเหมาเป็นวันตามที่เราต้องการ ก๊อตขอแนะนำ Go! New York Pass: All-Inclusive เลย ซึ่งพาสนี้เค้าก็จะมีเหมาวันตั้งแต่ 1 วัน จนถึงแบบ 10 วัน โดยไม่จำกัดจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่เราต้องการจะเข้า ซึ่งพาสนี้เหมาะกับคนที่อยากเข้าที่เที่ยวให้เยอะมากที่สุด เน้นเอาคุ้ม โดยพาสนี้เค้ารวมที่เที่ยวไฮไลท์มาหมดทั้งพิพิธภัณฑ์ จุดชมวิวบนยอดตึกชื่อดัง และที่เที่ยวรวมถึงทัวร์อื่นๆ อีกเยอะมาก
- 💵 ราคาบัตร Go! New York Pass: All-Inclusive: 1 วัน ($142) / 2 วัน ($170) / 3 วัน ($206) / 4 วัน ($238) / 5 วัน ($265) / 7 วัน ($301) / 10 วัน ($332) *บางช่วงมีส่วนลดด้วย เช่น Black Friday
- 🏛 ที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังที่อยู่ในพาส: Empire State Building, Top of the Rock Observatory, Edge, 9/11 Memorial & Museum, Big Bus Hop On Hop Off, American Museum of Natural History, MoMA และอื่นๆ อีกมากมาย ดูทั้งหมดที่นี่
- 🎫 การซื้อพาส: สามารถซื้อ Go! New York Pass: All-Inclusive ผ่านเว็บ Go City ได้เท่านั้น คลิกที่นี่
ตัวอย่างความประหยัดของพาส Go! New York Pass: All-Inclusive
สำหรับรีวิวนิวยอร์กที่อ่านกันอยู่ในหน้านี้ ก๊อตได้ซื้อและใช้พาส Go! New York Pass: All-Inclusive เป็นหลักในการเที่ยวแหละ โดยซื้อมาแบบ 5 วัน เหมาๆ ซึ่งตอนนั้นได้มาในราคาที่เค้าลดราคาเหลือแค่ $217 เท่านั้นเอง แถมตอนที่ก๊อตไปเที่ยว พาสนี้ยังมีใช้เข้า Metropolitan Museum of Art (The Met) ได้ด้วย แต่ปัจจุบันนี้ พาสเค้าตัด The Met ออกไปแล้ว
นี่จะบอกว่า เท่าที่ก๊อตใช้ Go! New York Pass: All-Inclusive คือคุ้มมากกกก สามารถดูตารางคำนวณของก๊อตด้านล่างได้เลย จากราคาเต็มประมาณราวๆ $372 (~13,400 บาท) จ่ายพาสจริงแค่ $217 (~7,800) ประหยัดไปกว่า 41% หรือประมาณ $155 (~5,580 บาท) เลย ถือว่าเยอะมากน้าา ดังนั้น คนที่คิดว่าจะซื้อ ลองคำนวณดูก่อนว่ามันคุ้มมั้ยงี้
Go! New York Pass: All-Inclusive | 5 Days / $217 |
ราคาปกติ | |
American Museum of Natural History | $23.00 |
The Museum of Modern Art (MOMA) | $25.00 |
The Metropolitan Museum of Art (The Met) * ตอนนี้ไม่รวมอยู่ในพาสแล้ว | $25.00 |
Solomon R. Guggenheim Museum | $25.00 |
Empire State Building Observatory | $45.73 |
Top of the Rock™ Observation Deck | $41.37 |
The Edge | $41.37 |
9/11 Memorial & Museum | $28.00 |
One World Observatory | $44.65 |
Whitney Museum of American Art | $25.00 |
Landmarks Cruise by Circle Line | $22.00 |
Fotografiska NYC | $26.00 |
ราคารวมปกติ | $372.12 |
Save % | 41% |
Save $ | $154.57 |
Klook Pass: New York (เน้นที่อยากไป ซื้อตามจำนวนที่เที่ยว)
สำหรับ Klook Pass: New York นั้น ถือเป็นโปรดักส์ใหม่ของ Klook ที่เค้าทำมาใหม่โดยรวบตึงเอาที่เที่ยวยอดนิยมมายำรวมกลายเป็นพาสที่ลดราคามากกว่าเดิม ซึ่ง Klook Pass เค้าจะเป็นการซื้อแบบนับจำนวนที่เที่ยวที่เราจะไป โดยมีตั้งแต่ 2-4 ที่เที่ยว โดยมีระยะเวลาในการใช้อยู่ที่ 30 วัน หลังจากที่ซื้อ ซึ่งพาสนี้เหมาะกับคนที่ต้องการความยืดหยุ่น รู้ว่าตัวเองมีแพลนจะไปไหน และอยากไปเฉพาะที่อยากไป โดยยังได้ส่วนลดแบบคุ้มๆ อยู่
(ปล. ตอนที่ก๊อตไปเที่ยวนิวยอร์กนั้น Klook เค้ายังไม่มีพาสแบบนี้มาแหละ แต่จากที่ดูแล้ว Klook พาสถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี และส่วนลดเค้าก็ยังมีมาโปรประจำเดือนมาให้เราใช้ลดท็อปอัพทุกเดือนแบบจุกๆ อีกด้วย)
- 💵 ราคาบัตร Klook Pass: New York (ราคามีการเปลี่ยนตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน): 2 ที่เที่ยว (2,400 บาท) / 2 ที่เที่ยว (3,373 บาท) / 4 วัน (4,509 บาท)
- 🏛 ที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังที่อยู่ในพาส: Empire State Building, Top of the Rock Observatory, Edge, 9/11 Memorial & Museum, Big Bus Hop On Hop Off, LEGOLAND® New York, MoMA และอื่นๆ อีกมากมาย ดูทั้งหมดที่นี่
- 🎫 การซื้อพาส: สามารถซื้อ Klook Pass: New York ผ่านเว็บ Klook ได้เท่านั้น คลิกที่นี่
ตัวอย่างความประหยัดของพาส Klook Pass: New York
Klook Pass: New York * อิงราคาหน้าเว็บ Klook ณ วันเขียนรีวิว | 3 ที่เที่ยว / 3,373 บาท |
ราคาปกติ | |
9/11 Memorial & Museum | 1,085 บาท |
Empire State Building Observatory | 1,727 บาท |
Top of the Rock™ Observation Deck | 1,575 บาท |
ราคารวมปกติ | 4,387 บาท |
Save % | 23% |
Save $ | 1,014 บาท |
ข้อมูลเที่ยวนิวยอร์กเบื้องต้นแน่นปึ๊กแล้ว มาเริ่มเที่ยวกันเล้ย
DAY 1 : พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History)
ต้องบอกก่อนเลยว่า นิวยอร์กเป็นอีกเมืองในอเมริกาที่มีพิพิธภัณฑ์มากมายให้เราได้เข้าชม ใครที่เป็นมิวเซียมเนิร์ดนี่ คือมาถูกเมืองมาก เพราะนิวยอร์กเองที่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ระดับตัวท็อปในทุกแขนงแบบเวิลด์คลาสอยู่เต็มเมืองเลยแหละ โดยที่แรกที่ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวคือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ทางด้านสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งถ้าใครที่เป็นแฟนหนังของ Night at the Museum ยิ่งต้องมา เพราะฉากต่างๆ และสิ่งมีชีวิตที่เราที่เห็นว่าอยู่ดีๆ ก็มีชีวิตขึ้นมาตอนกลางคืนนั้น เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงในหลายๆ ฉากที่เราเห็นในหนังนั้นเค้าก็มาถ่ายทำที่นี่อีกด้วย
ก๊อตจะบอกว่า พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เค้ามีคอลเล็คชั่นเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตมากกว่า 33 ล้านชิ้นเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น โครงกระดูกนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำ ไปจนถึงการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ วัตถุโบราณจากประเทศต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ในการล่าสัตว์ และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ที่ว้าวมากก็คือ คอลเล็คชั่นต่างๆ ที่เห็นเค้าจัดแสดงนั้น ถือเป็นเพียง 3% จากคอลเล็คชั่นทั้งหมดเท่านั้น บอกเลยว่าถ้ามาที่นี่แล้วกะจะมาเดินดูคอลเล็คชั่นของต่างๆ ให้ครบถ้วนนั้น วันเดียวนี่ว่าไม่พอแน่นอน
สำหรับไฮไลท์แรกที่พลาดไม่ได้เลย คือโมเดลวาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) ขนาดยักษ์ ที่ยาวกว่า 28 เมตร น้ำหนักประมาณ 9,500 กิโลกรัม ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในโถง Hall of Ocean Life รวมถึง ไททันโนซอรัส (Patagotitan Mayorum) ที่มีขนาดลำตัวยาวกว่า 37 เมตร น้ำหนักประมาณ 70 ตัน จัดว่าเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยขุดค้นพบกันเลย
บริเวณภายในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) เค้าจะแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็นหลายโซนมาก เริ่มตั้งแต่บริเวณด้านหน้าประตูขายตั๋วในห้องโถงอนุสรณ์ของธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของอเมริกา เราจะเจอกับโครงกระดูกไดโนเสาร์บาโรซอรัส (Barosaurus) ที่ประกอบขึ้นมาจากโครงกระดูกจริง และสูงที่สุดในโลก ซึ่งกำลังอยู่ในท่าทางปกป้องลูกๆ จากจากอัลโลซอรัส (Allosaurus) ไดโนเสาร์นักล่านั่นเอง
นอกจากนี้ ที่นี่เค้ายังมีโซนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal Halls) ที่จัดอยู่ใน Akeley Hall of African Mammals โดยไฮไลท์หลักของห้องนี้ที่ต้องมาดูเลย คือ ฝูงช้างขนาดยักษ์จำนวน 8 ตัว ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางห้องจัดแสดง รายล้อมไปด้วยตู้กระจกจำนวน 28 ตู้ ที่ภายในจำลองสัตว์ป่าท่ามกลางภูมิประเทศอันหลากหลายบนโลกเราเอาไว้ ทั้ง ช้างแอฟริกา สิงโตแอฟริกัน กอริลลา นกกระจอกเทศ แรดดำ และสัตว์อื่นๆ ที่เค้าจำลองขึ้นมาแบบเหมือนจริงมาก เหมือนยันเส้นขน ดีเทลคือละเอียดยิบยับสุดๆ โดย สำหรับฉากหลังที่ใช้จัดแสดงอยู่ในตู้กระจกนั้น เป็นฉากที่สร้างขึ้นใหม่อิงมาจากการภาพร่าง และภาพถ่ายสังเกตการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้ฉากหลังมันดูใกล้เคียงกับสถานที่จริงเอามากๆ อันนี้บอกเลยว่าโคตรดี สัตว์ที่เราเห็นในตู้โชว์นั้นคือเหมือนจริงสุด
แต่สำหรับใครที่ชอบดูสัตว์ดึกดำบรรพ์ ฟอสซิล และโครงกระดูกไดโนเสาร์ให้เดินมาที่ ห้องโถงฟอสซิล (Fossil Halls) ซึ่งที่นี่เค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะ คือฝั่ง David H. Koch และฝั่ง Lila Acheson Wallace ที่จัดแสดงตั้งแต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธ์ุไปแล้ว จนถึงโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดจริง
ภายในจะมีโซนที่ชื่อ Paul and Irma Milstein Hall ที่จัดแสดงช้างแมมมอธ (Mammoths) มาสโทดอน (Mastodon) อูฐ และสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ซึ่งสัตว์เหล่านี้ต่างได้สูญพันธ์ุไปแล้วเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ การล่าโดยมนุษย์ และโรคติดเชื้อ ซึ่งสัตว์ทั้งหมดที่จัดแสดงอยู่นห้องโถงนี้เกิดขึ้นหลังจากการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์เน้อ บอกเลยว่าโมเดลแต่ละตัวสมจริงมากก
ส่วนใครที่อยากดูพวกสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ หรือเหล่าสัตว์เลื้อยคลานที่นี่เค้าก็มีห้องโถงนก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เราจะได้เรียนรู้ไปกับเหล่านกสายพันธุ์ต่างๆ จาก 12 แห่งทั่วโลก ซึ่งในนิวยอร์กเองนั้น มีนกมากกว่า 400 สายพันธ์ุอาศัยอยู่เลย
นอกจากสัตว์ต่างๆ แล้ว ที่นี่เค้ายังมีคอลเลคชั่น แนววิทยาศาสตร์ และเหล่าดาวเคราะห์ต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน ห้องโถงวิทยาศาสตร์โลกและดาวเคราะห์ (Earth and Planetary Sciences) ที่ภายในเต็มไปด้วยอุกกาบาต แร่ธาตุ และอัญมณีหายาก ซึ่งมีข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ระบุเอาไว้ด้วยว่า หิน แร่ธาตุเหล่านี้ เป็นเหมือนเบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะของเราเลยใครที่อยากค้นหาคำตอบว่าโลกเราเกิดขึ้นมายังไง แนะนำมาดูกันได้น้า
และจากที่ก๊อตเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นแค่บางส่วนและบางโซนจากคอลเล็คชั่นทั้งหมดที่เค้ามีในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เท่านั้นน้า อย่างที่ก๊อตบอกไป วันเดียวเดินดูกันไม่หมดแน่ๆ มันยิ่งใหญ่ชะมัดเลย สำหรับใครที่ชอบแนวนี้มากๆ แล้วจะมาตามรอยล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ แล้วมาสิงอยู่ในนี้นานๆ ได้เลย สำหรับก๊อตแล้วชอบที่นี่มาก อย่างตู้กระจกที่เค้าจำลองสัตว์ต่างๆ ก๊อตประทับใจสุดๆ ยิ่งพวกฉากหลังที่สถานที่มันดูเหมือนของจริงมากๆ เวลาดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพโปสการ์ดเลย เหมือนก๊อตได้เห็นสัตว์เหล่านี้เค้ามีชีวิตจริงๆ นี่เลยขอยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ใครใคร่รักในการดูสัตว์ต่างๆ อยากให้ลองมาสักครั้ง บอกเลยว่า ไม่เสียดายค่าเข้าอย่างแน่นอน
Museum of Modern Art (MoMA)
ถ้าใครเป็นสายอาร์ต ร้อยทั้งร้อย ก๊อตเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก Museum of Modern Art หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า MoMA โดย MoMA ที่นิวยอร์กนั้น จัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์อารต์ต้นแบบและมีอิทธิพลในแขนงศิลปะมากแห่งหนึ่งของโลกเลยนะ โดยเค้าเปิดมาแล้วกว่า 93 ปี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมงานศิลปะในสมัยใหม่ที่ได้รับการยกย่องว่าทรงคุณค่ามากที่สุดของศิลปะสมัยใหม่ในทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น งานสถาปัตยกรรม, ภาพวาด, งานปั้น ภาพถ่าย รวมถึงงานภาพยนต์ต่างๆ ราวๆ 200,000 ชิ้น อีกทั้ง MoMA ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมหนังสือทรงคุณค่ากว่า 300,000 เล่ม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหนังสือศิลปิน วารสาร รวมทั้งไฟล์งานจากศิลปินมากกว่า 70,000 ผลงานรวมอยู่ไว้ในที่เดียวเลย
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1928 ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ Modern Arts กำลังเป็นที่นิยม โดยคุณนาย Abby Aldrich Rockefeller และเพื่อนๆ ของเธอ ได้แก่ Lillie P. Bliss และ Mary Quinn Sullivan ได้ขอเช่าพื้นที่ภายในตึก Heckscher บนเกาะในแมนฮัตตัน (Manhattan) เพื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ MoMa ขึ้นมาเมื่อพิพิธภัณฑ์เปิดทำการแล้ว ปรากฏกว่าได้รับผลตอบรับเกินคาด จน MoMA กลายเป็นพิพิธภัณฑ์อาร์ตชั้นแนวหน้าของอเมริกา ที่เป็นแหล่งรวบรวมศิลปะสมัยใหม่ในยุโรปเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผลงานเลอค่าจากศิลปินชื่อดังระดับตำนานอย่าง Van Gogh, Gauguin, Cézanne, Seurat และศิลปินอื่นๆ ที่เราควรค่าแก่การมาดูของจริงสักครั้งในชีวิตเลย
ถ้าหากถามก๊อตว่าว่าทำไมเราต้องมา MoMA สักครั้ง ด้วยความที่ก๊อตเรียนทางด้านดีไซน์มา และได้เห็นภาพของผลงานดังที่จัดแสดงเอาไว้อยู่ภายในและได้ผ่านหูผ่านตามาตอนในช่วงสมัยเรียน นี่ก็เลยปักธงในใจเอาไว้เลยว่า เราจะต้องมา MoMA เพื่อมาตามดูผลงานดังๆของจริงสักครั้ง พอได้มาเยือนจริงๆ นี่เลยตื่นเต้นมาก เพราะเราได้เจอผลงานหลายชิ้นงานเลย ไม่ว่าจะเป็นงานสาดสีของ แจ็กสัน พอลล็อก (Jackson Pollock) ศิลปินชาวอเมริกันยุคศตวรรษที่ 20 ที่เค้าชอบถ่ายทอดพลังอารมณ์แนว Abstract Expressionism ผ่านการหยด สาด หรือเทสีลงบนผ้าใบ จากจิตสำนึกของศิลปินเค้านั่นเอง ซึ่งที่ MoMA เองก็มีผลงานหลายชิ้นของเค้าที่นำมาจัดแสดงอยู่เยอะมาก
นอกจากงาน Abstract Expressionism แล้ว อีกงานที่ต้องมาดูเลยคืองาน Pop Art จาก แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ผู้ที่เป็นทั้งศิลปิน ผู้กำกับและผลิตภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ที่มีผลงานอย่าง ‘Campbell’s Soup Cans’ (1962) กับภาพกระป๋องซุปแคมป์เบลล์สจำนวน 32 ภาพ ที่แตกต่างกันด้วยรสชาติต่างๆ ที่แอนดี้เค้าได้กินเจ้าซุปกระป๋องตัวนี้เป็นอาหารกลางวันกว่า 20 ปี และอีกหนึ่งผลงานที่ดังมากที่สุดอย่าง ‘Gold Marilyn Monroe’ (1962) ผลงานภาพงานซิลก์สกรีนของจริง ที่เราสามารถมาดูที่ MoMA ได้อีกด้วย
สำหรับไฮไลท์ที่ก๊อตอยากให้ทุกคนได้มาเห็นของจริงด้วยตาสักครั้งคือภาพออริจิของ ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค (Vincent Willem van Gogh) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกรชาวดัตช์ หนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่สร้างสรรค์งานศิลป์กว่า 2,100 ชิ้นในเวลาเพียง 10 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งในจำนวนผลงานทั้งหมดของเค้าเป็นภาพสีน้ำมัน 860 ชิ้น โดยเป็นภาพภูมิประเทศ ภาพนิ่ง ภาพคนเหมือน และภาพเหมือนตนเองที่โด่งดังและสร้างชื่อเสียงให้กับแวนโก๊ะอย่างมาก ซึ่งผลงานโดยรวมของเค้านั้น มีเอกลักษณ์ด้วยสีสันที่จัดจ้าน รวมถึงลายเส้นจากปลายพู่กันที่ฉวัดเฉวียนแฝงไปด้วยอารมณ์อันหลากหลายของศิลปินร่วมอยู่ด้วย
สุดท้ายที่ต้องมาดูเลยเมื่อมา MoMA คือการมาชมนิทรรศการย้อนอดีตของพาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso) จิตรกรระดับโลกที่สร้างสรรค์ผลงานมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 จากนิตยสารไทม์ ซึ่งที่นี่เค้าจัดแสดงผลงานของเค้าเอาไว้ให้เราได้เข้าชมอยู่หลายชิ้นเลย แฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงานชื่อก้องโลกแบบนี้ ก๊อตบอกเลยว่าห้ามพลาด
เอาล่ะ! ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือส่วนหนึ่งในผลงาน และนิทรรศการถาวรต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน MoMA นอกจากผลงานต่างๆ ที่ก๊อตบอกมาทั้งหมดนี้ ที่ MoMA ยังมีนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวรอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นต้นแบบพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ทรงอิทธิพลต่อพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่เกิดมาในยุคหลังอีกด้วย ใครที่ชอบงานศิลปะร่วมสมัย งานศิลปะสมัยใหม่ สายอาร์ตทั้งหลาย สักครั้งในชีวิตอยากให้ได้มา MoMA กันสักครั้งจริงๆ บอกกเลยว่ามาที่นี่แล้วไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน
มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral)
ต้องบอกก่อนว่า มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral) นั้นก๊อตไม่ได้เดินเข้าไปชมด้านในของเค้าตอนนั้นก็งงเหมือนกันว่าทำไมไม่เข้าไปด้านในนะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ นี่จะบอกว่า ที่นี่ถือเป็นวิหารที่สวยที่สุดในนิวยอร์กที่ควรต้องมา โดยวิหารเค้ามาในสไตล์นีโอ-โกธิค ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือเลยทีเดียว ใครที่อยากจะเข้าไปชมความงาม สามารถเดินเข้าได้เล้ย ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าใครที่อยากรู้ลึกรู้จริง ก็ซื้อ Self-audio tour เค้าได้ในราคา $8 แหละ
สำหรับ มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1858 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1879 หรือประมาณ 140 กว่าปีมาแล้ว โดยตัววิหารนั้นมียอดแหลมสูงประมาณ 100 เมตร ห่อหุ้มด้วยหินอ่อนสีขาว ด้านในโบสถ์จะมีรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซู และรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซูหลังจากถูกตรึงไม้กางเขน ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1906 ที่ทรงคุณค่ามาก ด้วยความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของมหาวิหารนี้ ที่นี่ถูกประกาศให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่มาเที่ยวนิวยอร์ก เดินเล่นแถว 5th Avenue ก็มาลองเที่ยวด้านในกันได้
DAY 2 : Metropolitan Museum of Art (THE MET)
ตัดภาพมาวันที่สอง ถ้าถามว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาคือที่ไหน? เราต้องยกให้ THE MET หรือ Metropolitan Museum of Art ในนิวยอร์กเค้าเลย เพราะที่มีคอลเล็คชั่นชิ้นงานศิลปะกว่า 2 ล้านชิ้น ซึ่งบางชิ้นนั้นมีอายุมากกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว โดยคอลเล็คชั้นต่างๆ ที่อยู่ภายในนั้นเค้าได้รวบรวมผลงานมาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานจากยุโรป อียิปต์ อิสลาม เอเชีย แอฟริกา รวมถึงชิ้นงานอเมริกันตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนถึงยุคปัจจุบันที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตัวท็อปที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้
และด้วยความที่ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารศิลปะโกธิคแบบดั้งเดิม ด้านหน้าตึกและภายในโถงหลักเป็นศิลปะ Beaux-Arts สไตล์ฝรั่งเศส ที่นี่เลยถูกเปรียบเทียบว่าเป็นพระราชวังสาธารณะแห่งเมืองนิวยอร์กอีกด้วย
THE MET นั้นสร้างขึ้นโดย จอห์น เจย์ (John Jay) ในปีค.ศ. 1870 ร่วมกับทนายความชาวอเมริกัน นักธุรกิจ นักการเงิน และเหล่าศิลปินที่หลงใหลในงานศิลปะแบบเดียวกัน โดยทั้งหมดตั้งใจว่าจะทำให้ THE MET เป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะ และตั้งใจที่จะเผยแพร่งานศิลปะและการศึกษาเกี่ยวกับศิลปะไปถึงคนอเมริกาให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ๆ รวมถึงได้สัมผัสกับงานศิลปะที่มีอายุมาอย่างยาวนานอีกด้วย
โดยในปีค.ศ. 1872 THE MET ได้เปิดให้คนภายนอกได้เข้าชมเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากผู้คนเป็นอย่างมาก จนในปัจจุบัน THE MET มีผู้เข้าชมติดท็อประดับโลกเลย
มาเริ่มดูภายในพิพิธภัณฑ์กันเลย เริ่มจากโซนศิลปะถาวรอย่างโซนภาพวาดและภาพพิมพ์ที่จัดแสดงเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ เริ่มจากภาพวาดกว่า 21,000 ภาพ, ภาพพิมพ์ 1.2 ล้านภาพ และหนังสือภาพประกอบ 12,000 เล่ม ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นทั้งในยุโรปและอเมริกา โดยชิ้นงานต่างๆ มีอายุตั้งแต่ประมาณ 1,400 ปีก่อนมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ทำให้ THE MET โดดเด่นในเรื่องงานศิลปะเกี่ยวกับภาพวาดและภาพพิมพ์มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
อีกโซนที่สำคัญ ควรค่าที่ต้องเข้ามาดู คือโซนศิลปะยุคอียิปต์ ที่มีรูปปั้นวัตถุโบราณจากอียิปต์กว่า 26,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุค Paleolithic จนถึงสมัยโรมัน (ประมาณ 300,000 ปีก่อนคริสตกาล–ศตวรรษที่ 4) หนึ่งในนั้น มีรูปปั้นฮิปโปโปเตมัสเซรามิกดินควอตซ์สีน้ำเงินที่คนอียิปต์เชื่อว่าเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้เดินทางในน้ำด้วย และที่เป็นไฮไลท์สุดของฝั่งอียิปต์เลยคือ วัดอียิปต์ที่สมบูรณ์มากที่สุดที่ถูกแสดงในโลกฝั่งตะวันตกกับ ‘The Temple of Dendur’ ที่ถูกสร้างขึ้นแถวแม่น้ำไนล์ และมีอายุมากกว่า 2,000 ปีเลย
และใครที่เป็นสายอาร์ตชอบงานศิลปะยุคโรมัน คุณมาถูกที่แล้วจ้า เพราะ THE MET มีโซนศิลปะกรีกและโรมัน ที่จัดแสดงชิ้นงานมากกว่า 30,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคหินใหม่ (ประมาณ 4500 ปีก่อนคริสตกาล) รวมไปถึงงานศิลปะจากหลากหลายวัฒนธรรม ที่เราจะได้เห็นผ่านผลงานอันหลากหลายตั้งแต่ อัญมณีแกะสลักขนาดเล็ก รูปปั้นขนาดใหญ่เกินจริง งาช้าง กระดูก เหล็ก ตะกั่ว อำพัน ไปจนถึงพวกประติมากรรมต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่มีให้ดูกันจนตาลาย บอกเลย
เดินดูยุคโรมันกันจนฉ่ำใจแล้ว คนเอเชียอย่างชาวเรา จะพลาดโซนศิลปะเอเชียไม่ได้ บอกเลยว่าที่นี่เค้ารวบรวมไว้เยอะมากกว่า 35,000 ชิ้น นับตั้งแต่สหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงศตวรรษที่ 21 เรียกได้ว่าคอลเล็คชั่นของเอเชียเหล่านี้เป็นเป็นการรวบรวมชิ้นงานศิลปะที่มากที่สุดและครอบคลุมมากที่สุดในโลก ซึ่งคอลเล็คชั่นบางอย่าง ตัวก๊อตเองก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกที่นี่เลย แต่นี่แอบเสียดายโซนเอเชียเป็นโซนที่คนเข้ามาดูน้อยมากเลย นี่เดินเพลินๆ เงียบๆ อยู่แค่ไม่กี่คนเอง แต่งานศิลปะ พวกวัตถุโบราณก็เป็นของที่ต่างก็หาดูได้ยากทั้งนั้นมันดีมากเลยเว้ย แนะนำให้เข้ามาดูกันเยอะๆ
ส่วนคอลเล็คชั่นอื่นๆ ใน THE MET ก็จะมีตั้งแต่พวกอาวุธและชุดเกราะโบราณ, เครื่องดนตรี, เครื่องแต่งกาย, ศิลปะแอฟริกา, ศิลปะอเมริกา, ศิลปะตะวันออก,ศิลปะอิสลาม, ศิลปะยุคกลาง-สมัยใหม่-ร่วมสมัย และอื่นๆ อีกมากมาย แถมเค้ายังมีนิทรรศการหมุนเวียนให้ได้ดูอยู่เรื่อยๆ อย่างตอนที่ก๊อตไปนั้น (กลางปี 2021) เป็นช่วงที่เค้าจัดนิทรรศการภาพวาดแนวเหนือจริง หรือ เซอร์เรียลลิซึม (Surrealism) กับเหล่าภาพวาดที่มันดูไม่สมเหตุสมผล โดยศิลปินเค้าได้นำเอาความไม่เข้ากันของสิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พบเจอ มาผสมผสานออกมาให้กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ชวนให้เราได้ขบคิดและนึกตามผลงานเหล่านั้นไปด้วย โดยนิทรรศการหมุนเวียนเหล่านี้เค้าจัดสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
ก๊อตยกให้ THE MET เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ครบถ้วน และมีผลงานจัดแสดงอยู่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย สายอาร์ตต้องมา อย่างก๊อตเองที่เรียนสายอาร์ตมา พอได้มายืนอยู่ท่ามกลางพิพิธภัณฑ์ระดับโลกแบบนี้ มันเหมือนดินแดนสวรรค์มาก นี่ไม่อยากกลับเลย 5555
Solomon R. Guggenheim Museum
ไม่ไกลจาก Metropolitan Museum of Art (THE MET) ยังมีอีกหนึ่งมิวเซียมอาร์ตที่ต้องมาเลยคือ Solomon R. Guggenheim Museum หรือที่คนส่วนมากเรียกสั้นๆ ว่า ‘กุกเกนไฮม์ (Guggenheim) ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ดังมากที่สุดในโลก ถึงแม้ขนาดความใหญ่และคอลเล็คชั่นงานอาร์ตของเค้าจะไม่อลังการงานสร้างเหมือน THE MET แต่สถาปัตยกรรมของตึกมิวเซียมเค้าก็ดังแบบปัง โดดเด่นท่ามกลางเมืองนิวยอร์คในสไตล์โมเดิร์น ซึ่งได้สถาปนิกอเมริกันชื่อดังอย่าง Frank Lloyd Wright มาออกแบบมิวเซียมที่นี่ให้ ซึ่งเค้าสเก็ทแบบมากกว่า 700 แผ่น แถมช่วงสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าตึกนั้น หน้าตาเหมือนขนม Hot Cross Buns (ขนมปังที่เค้านิยมทำและกินกันในช่วงเทศกาลอีสเตอร์) ที่ย่อยไม่ได้อีกต่างหาก แต่ท้ายที่สุด ที่นี่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาว และกลายเป็นผลงานอีกหนึ่งชิ้นของ Frank Lloyd Wright ที่โด่งดังมากที่สุด และยังได้พิสูจน์ความเจ๋ง จนได้รับถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ‘The 20th-Century Architecture of Frank Lloyd Wright’ จาก UNESCO อีกด้วย ไม่ปังคือทำไม่ได้นะเออ
สำหรับ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Guggenheim Museum) นั้นมีอยู่ทั้งหมด 4 แห่งทั่วโลกตอนนี้ โดยที่แรกก็คือที่นิวยอร์ค ตามมาด้วยที่เมืองเวนิส (Venice) ประเทศอิตาลี เมืองบิลบาโอ (Bilbao) ประเทศสเปน และล่าสุดที่กำลังสร้างอยู่คือที่อาบูดาบี (Abu Dhabi) ที่คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2025 นี้นั่นเอง โดยผลงานส่วนใหญ่ที่แสดงที่กุกเกนไฮม์ (Guggenheim) นั้น จะเป็นแนว Impressionist, Post-Impressionist, Modern และ Contemporary Art ใครที่เป็นสายนี้ก็มาเดินเล่นดูกันได้เลย
ใครที่มาเที่ยวที่นี่ สำหรับคนที่ถือพาส Go! New York Pass หรือ New York CityPASS สามารถเดินลิ่วเข้าไปได้เลย แต่ถ้าใครไม่มีพาส เราสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ผ่าน Klook หรือ KKday ซึ่งการซื้อออนไลน์จะถูกกว่าหน้าเคาท์เตอร์ที่ $25 น้า
เอาจริง ตอนที่ก๊อตไปและเดินอยู่ในมิวเซียมนั้น นี่รู้สึกนึกถึงหอศิลป์กรุงเทพ (BACC) เว่อร์ ด้วยความที่การออกแบบรูทการชมนิทรรศการเค้านั้นจะเดินวนเป็นวงกลมนั่นเอง โดยช่วงนั้นที่ก๊อตไป เค้ามีจัดนิทรรศการ Vasily Kandinsky: Around the Circle ของ วาซีลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky) ศิลปินชาวรัสเซีย ที่หลายคนยกย่องเค้าให้เป็นผู้ริเริ่มผลงานสไตล์ Abstract ในช่วงศตวรรษที่ 20 ผ่านเส้นสายรูปทรงอินทรีย์ รูปทรงโค้ง และเส้นต่างๆ ที่สะท้อนอารมณ์และจิตวิญญาณภายในของเจ้าตัวนั่นเอง
ใครที่เป็นสายโมเดิร์นอาร์ต หรือศิลปะร่วมสมัย การมาเดินเล่นชมผลงานที่ Solomon R. Guggenheim Museum ถือว่ามาแล้วไม่ผิดหวัง แนะนำให้มาเลย เพราะนอกจากงานศิลปะที่เราจะได้ดูแล้ว ระหว่างการเดินชมผลงาน เรายังได้ซึมซับและชื่นชมความสวยงานของสถาปัตยกรรมของตัวตึกไปด้วยนั่นเอ๊ง
Top of The Rock / Rockefeller Center
ก๊อตว่าหลายคนต้องเคยเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของวิวเมืองนิวยอร์กซักครั้งผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแม้แต่หนังดังหลายเรื่อง บอกเลยว่าภาพที่เราเห็นผ่านตาว่าสวยแล้ว แต่ของจริงคือสวยแบบน้ำตาไหลยิ่งกว่ามากกก อย่างสกายไลน์นิวยอร์กนี่ คือที่สุดของความยิ่งใหญ่ ซึ่งห้ามพลาดเลยกับการมาขึ้นตึกสูงเพื่อดูวิวสกายไลน์ โดยการมาเที่ยวนิวยอร์กรอบนี้ ก๊อตได้ไปเก็บ Observation Deck ทั้งหมด 4 ที่ด้วยกัน โดยที่แรก ที่เราจะไปกันคือ Top of The Rock จุดชมวิวชั้น 70 ของ ตึก Rockefeller ที่ก๊อตยกให้เป็นจุดชมวิวเมืองที่ดีที่สุดจากทั้งหมด 4 ตึกที่ก๊อตได้ขึ้นไปดูมาเลยแหละ
จุดชมวิว Top of The Rock จะอยู่บนชั้น 70 ที่ระดับความสูง 260 เมตร ของตึกร็อคกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์ (Rockefeller Center) ที่เป็นทั้งตึกสำนักงานและศูนย์การค้าที่ถูกออกแบบในสไตล์ Art Deco ที่ถือเป็นสไตล์ที่ฮอตฮิตมากในช่วง 1920-1930s โดยตึกสไตล์นี้เค้าจะมาในสไตล์แข็งแกร่งด้วยรูปทรงเรขาคณิต และเพิ่มความหรูหราหมาเห่าด้วยของตกแต่งแนวกรีก-โรมัน เพื่อให้ตึกนั้นดูแพงและโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั่นเอง
สำหรับตึกนี้ ร็อคกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์ (Rockefeller Center) สร้างขึ้นโดย John D. Rockefeller Jr. โดยเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1933 เพื่อเป็นศูนย์กลางศิลปะ แฟชั่น และความบันเทิง โดยได้มีการนำเอาความทันสมัยและความฟู่ฟ่า เข้ามาให้ผู้คนได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดลานสเก็ตในปี 1936 และในปี 1986 ได้มีการประดับไฟ LED กว่า 20,000 ดวงบนต้นคริสต์มาสและเพิ่ม Swarovski Star ไว้บนยอดต้นคริสต์มาสอีกด้วย โดยชื่อเดิมของตึกนี้คือ General Electric (GE) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Rockefeller Center ในปี 2015 และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ NBC ในนิวยอร์กอีกด้วยนะ
วิวของ Top of The Rock ถือเป็นจุดชมวิวเมืองนิวยอร์กที่สวยที่สุดสำหรับก๊อต คือมันเป็นวิวมุมคลาสสิกของนิวยอร์กที่เราจะได้เห็น ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ที่ตั้งสง่าโดดเด่นใจกลางนิวยอร์ก แถมมองออกไปด้านหลังไม่ไกลกัน เราจะเห็นตึกวันเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ (One World Trade Center) ไปจนถึงทั้งปลายแหลมของเกาะแมนฮัตตันและเทพีเสรีภาพไกลลิบๆ โดยรวมคือ ต้องมาแหละสำหรับ Top of The Rock นี่คือเชียร์สุด เพราะมันสวยสุดแล้วโว้ย
สุดท้าย ใครจะมาที่นี่ ก๊อตแนะนำให้มาตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แล้วอยู่ดูวิวไปเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์ตกดินกับแสงสุดท้ายของวันที่กระทบเข้ากับตัวตึกรอบๆ จนลาลับฟ้าไป ก่อนที่เราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความอลังการของแสงสียามค่ำคื่น จากวิวช่วงกลางคืนที่ตึกในนิวยอร์ก เค้าจะเปิดไฟระยิบระยังเรียงรายกันไป บอกเลยว่านี่จะเป็นภาพวิวเมืองที่สวยติดท็อปที่สุดในใจเรา และเป็นภาพจำตลอดชีวิตไปเลย ประทับใจมากก
DAY 3 : ไทม์สแควร์ (Times Square)
ที่เที่ยวแรกของวันนี้ นี่ขอไปแลนด์มาร์คที่ให้ฟีลความเป็นนิวยอร์กกันซักหน่อยกับ ไทม์สแควร์ (Times Square) อีกหนึ่งสถานที่ที่ก๊อตเห็นและคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะภาพการเฉลิมฉลองเค้าท์ดาวน์วันปีใหม่ทุกปีในทีวี กับธรรมเนียม Ball Drop ที่เค้าปล่อยลูกบอลยักษ์ (Times Square Ball) จากยอดตึกวันไทม์สแควร์ (One Times Square) ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า เค้าทำกันมายาวนานกว่า 114 ปี แล้ววว! เอ้อ และถึงแม้การมาเที่ยวนิวยอร์กรอบนี้ของก๊อตจะไม่ใช่การมาเค้าดาวน์ และมาในช่วงปกติธรรมดา แต่การได้มายืน ท่ามกลางตึกสูงกับจอแอลซีดีใหญ่ยักษ์หลากหลายตัวล้อมรอบแล้ว ฟีลแรกคือขนลุกเอาเรื่องอยู่นะเว้ย อารมณ์มาแบบ โว้ยยย ฉันมาถึงนิวยอร์กแล้วว่ะ ฟีลนี้เล้ย 5555555
ว่าแล้วก็บอกต้นกำเนิดของ ไทม์สแควร์ (Times Square) กันซักหน่อย โดยที่นี่เค้าเริ่มจากการเป็นย่านค้าขายธุรกิจรถม้าลากของมหาเศรษฐีอเมริกันยุคบุกเบิกประเทศอย่าง วิลเลียม เอช. แวนเดอร์บิลต์ (William H. Vanderbilt) ซึ่งแต่ก่อนที่นี่ไม่ได้ชื่อไทม์สแควร์ (Times Square) นะ เดิมชื่อ ลองเอเคอร์ สแควร์ (Long Acre Square หรือ Longacre Square) ที่ไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่ลานกว้างใจกลางเมืองขนาดใหญ่ แต่ยังรวมถึงเหล่าตึกสูง อาคาร ศูนย์การค้า อพาร์ทเมนต์เข้าไว้อีกด้วย ทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และย่านที่พักสุดหรูของเมือง ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1890-1900 หรือ 10 ปีสุดท้ายก่อนข้ามผ่านสู่ศตวรรษที่ 20 ย่านนี้กลายเป็นแหล่งรวมกิจกรรมความบันเทิง ก่อนจะหลายเป็นย่านเฉลิมฉลองปีใหม่ อย่างที่เราคุ้นตามาจนถึงปัจจุบัน
เอาจริงๆ ปะ เมื่อไหร่ที่เรานึกถึงนิวยอร์ก เราก็ต้องนึกถึงไทม์สแควร์ (Times Square) กันอยู่แล้ว ใครที่มาเที่ยวนิวยอร์กครั้งแรกคือต้องมา เพราะเราจะขนลุกขนชัน น้ำตาเอ่อด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘เรามาถึงนิวยอร์กแล้ว!’ การมาที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่มาซึมซับบรรยากาศ ดูแสงสีจากจอแอลอีดีรอบตัวเรา พร้อมกับดูผู้คนรอบข้าง ทั้งนักท่องเที่ยว คนโลคอล หรือมีแต่นักโชว์ต่างๆ บางคนก็แต่งเป็นตัวละครในหนังบ้าง หรือจะมาเป็นกรุ้ปคาบาเรต์ ก็มาหมด บอกเลยว่าบรรยากาศดีย์ ซึ่งตัวก๊อตเองมาทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเล้ย
ล่องเรือ Circle Line Queens
สำหรับคนที่มี Go! New York Pass เหมือนก๊อต นี่แนะนำให้เราเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวปกติบนท้องถนน มาเป็นการล่องเรือชิลๆ กับ Circle Line Queens ดื่มด่ำไปกับบรยากาศของนิวยอร์กกันอีกมุมนึง โดยคนที่มี Go! New York Pass สามารถกระโดดขึ้นเรือมาได้เลยโดยที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม ซึ่งรูทที่เค้าจะพาเราล่องเรือออกไปนั้น จะล่องรอบเกาะแมนฮัตตันโดยลงไปทางใต้ อีกทั้งยังผ่านเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) และล่องอ้อมไปเจอกับสะพานบรู้คลิน (Brooklyn Bridge) ก่อนจะวนกลับมาทางเดิม ซึ่งรูทนี้เราจะได้เห็นสกายไลน์เมืองนิวยอร์กในมุมใหม่ๆ ที่ต่างกันออกไปจากบนผืนน้ำนั่นเอง
สำหรับแพลนการมาเที่ยวนิวยอร์กของก๊อต คือไม่ได้มีไป เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ซึ่งการนั่งเรือแล้วมาส่องรูปปั้นเอาจากบนเรือ ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีมากเลยนะ เพราะเรือเค้าก็จะวิ่งเข้ามาใกล้ๆ และพักให้เราได้ชื่นชมความสวยของเทพีเสรีภาพอยู่พอประมาณเลยแหละ
ส่วนใครที่ไม่ได้มีพาสใดๆ เท่าที่รู้คือมันจะมีเรือเส้นปกติธรรมดาที่เราสามารถขึ้นฟรีได้ด้วยนะ ยังไงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู แต่ถ้าใครที่ถือ Go City Pass ก็ขึ้นอันนี้ตามก๊อตไปเล้ย แบบจบๆ ไม่เสียเงินเพิ่ม ฮ่า
เห็น เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เค้าเป็นไอคอนิกความเป็นอเมริกันมาขนาดนี้ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่านี่คือของขวัญจากฝรั่งเศส เพื่อนเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ของการประกาศอิสรภาพ ซึ่งรูปปั้นเทพีเสรีภาพนั้นถูกออกแบบโดย เฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี (Frédéric Auguste Bartholdi) และเฟรมโครงเหล็กออกแบบโดย กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) ซึ่งเค้าได้ออกแบบและสร้างหอไอเฟลในกรุงปารีสหลังจากนั้นต่อมานั่นเอง
ใดๆ คือ การล่องเรือนั่นดีและชิลมากจริงแหละ บรรยากาศสองข้างทางระหว่างล่องเรือคือดีย์ โดยเฉพาะภาพฉากสกายไลน์เมืองนิวยอร์กจากทางฝั่งใต้ มองขึ้นมายังเกาะแมนฮัตตันที่ยังติดตาก๊อตจนถึงตอนนี้ รวมถึงภาพที่เราจะได้ล่องเรือลอดผ่านสะพานต่างๆ นานา อย่างพวกสะพานบรูคลิน (Brooklyn) สะพานแมนฮัตตัน (Manhattan Bridge) และยังได้เห็นตึกรามบ้านช่องต่างๆ แบบฉ่ำๆ ท่ามกลางลมเย็นๆ คือดีที่สุดเลย เอาเป็นว่า ใครที่มาเที่ยวนิวยอร์กต้องมาลองล่องเรือกันนะเอ้อ
ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building)
หนึ่งในไอคอนของอเมริกาต้องยกให้ ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) เค้าเลย เพราะนอกจากตึกเค้าจะสวยและเป็นสัญลักษณ์ของโลกยุคใหม่อเมริกาแล้ว ไม่ว่าเราจะเดินไปเที่ยวไหนในนิวยอร์ก เราจะได้จะเห็นตึกนี้อยู่ทั่วทุกเมืองบนเกาะแมนฮัตตันเลยล่ะ สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องราวประวัติของที่นี่ บริเวณ พิพิธภัณฑ์ Story of an Icon ในชั้น 2 ของตึก เค้ามีจัดแสดงมัลติมีเดียเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาคาร และสถานที่ทางวัฒนธรรมของอเมริกาเอาไว้ให้ได้ชมด้วยน้า ใครอยากเที่ยวตึกแบบเข้าใจลึกซึ้งแนะนำให้เดินไปดูได้เลย ส่วนการมา ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) คือการมาขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดตึกด้านบนนั่นเอง
ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1931 โดยใช้เวลาสร้างเพียง 410 วันเท่านั้น แถมยังถูกจัดเป็นตึกสูงมากกว่า 100 ชั้นแห่งแรกของโลก ด้วยความสูง 434 เมตร ซึ่งสูงกว่าทุกตึกในประเทศไทยในปัจจุบัน และยังครองสถิติตึกที่สูงที่สุดในโลกมายาวนานถึง 40 ปี โดยวิวด้านบนของตึกนั้น เราสามารถมองสกายไลน์ของเมืองนิวยอร์กได้ไกลสุดลูกหูลูกตาได้แบบ 360 องศาเลย
สำหรับก๊อตแล้ว นี่ขอยกให้ ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) เป็นตึกในตำนานของโลก และเป็นอีกหนึ่งไอคอนิกของอเมริกาที่หลายคนอยากมาเห็นกับตาตัวเองเลยล่ะ เพราะอย่างในหนังหลายเรื่องก็มีฉากของตึกไปโผล่ให้เห็นบ่อยมาก และที่เป็นตำนานฮือฮากันไปทั่วโลกเลยคือ ในปี 1933 ฉากที่คองในภาพยนตร์เรื่อง King Kong หลุดออกจากกรงขัง และได้จับนางเอกปีนขึ้นมายังบนยอดตึกเอ็มไพร์สเตท ซึ่งถือเป็นฉากที่ผู้คนทั่วโลกจดจำภาพของตึกสูงหลังนี้ได้จวบจนปัจจุบันเลย
สำหรับการมาเที่ยวที่ ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ก๊อตแนะนำให้ขึ้นก๊อตไปยัง Observation Deck เพื่อชมวิวสกายไลน์นิวยอร์กด้านบนกัน ซึ่งระหว่างทางเดินไปที่ลิฟต์ เพื่อขึ้นไปจุดชมวิวนั้นสองข้างทางระหว่างทางเดินจะเต็มไปด้วยรูปคนดังที่เค้าเอามาแขวนให้ได้ดูว่าใครเคยมาที่ยอดตึกแห่งนี้แล้วบ้าง ซึ่งจากการกวาดสายตามองของก๊อต คือแทบจะทั้งหมดในวงการฮอลลีวู้ดบ้านเค้า และคนใหญ่คนโต คนมีชื่อเสียงบนโลกนี้ที่แทบจะมาเยือนที่นี่กันหมดแล้ว ถึงขั้นขนาดน้องมินเนี่ยนนี่ยังได้มาขึ้นจุดชมวิวบนตึกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเลยอ่ะ ทำไมมันน่ารักจัง 555555
ขึ้นลิฟท์มาไม่กี่วิ เราจะมาโผล่ที่ชั้น 80 ซึ่งเป็นชั้นที่เราสามารถเดินออกมาบริเวณจุดที่ให้ชมวิวได้เลย ภาพตรงหน้าคือวิวนิวยอร์กแบบฉ่ำตาสุด โดยเรามองเห็นเมืองทั้งเมืองของเค้าได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ได้เห็นตึกวัน เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ (One World Trade Center) ไกลๆ อีกด้วย ถือเป็นวิวที่ก๊อตประทับใจมาก นอกจากวิวสวยๆ แล้วบนนี้ยังมีลูกเล่นให้เราได้สนุกไปกับการส่องกล้องที่ภายในเป็นภาพวิดีโอตอนที่เค้าบันทึกขั้นตอนการสร้างตึกเอาไว้ให้เราได้ดูด้วยนะ อันนี้ไอเดียเจ๋งโคตร
จบจากชั้น 80 เราขึ้นขึ้นไปต่อกันที่ชั้น 86 ซึ่งถือว่าเป็นเป็นชั้นสูงสุด สำหรับบัตรธรรมดาที่เราสามารถขึ้นได้แล้วนะ ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถขึ้นไปดูได้ถึงชั้น 102 เลยเว้ย แต่เราจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมนั่นเอง 5555 แต่อย่างว่า แค่บัตรธรรมดาก็คุ้มแล้วแกร๊ ใครจะขึ้นมาบนนี้แนะนำให้มาตอนเย็นๆ แล้วอยู่ยาวๆ ไปจนถึงค่ำ เพราะแสงจากทั่วทุกทิศทางจะค่อยปรับเปลี่ยนไป จากแสงธรรมชาติในตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนถูกทดแทนด้วยแสงไฟจากตึกและถนทั่วทั้งเมือง เป็นมู้ดที่สวยสับมาก โดยรวมแล้วนิวยอร์กสำหรับก๊อตเป็นเมืองที่ดูวิวบนฟ้าสวยที่สุดที่เคยดูมาเลยไปดูที่ไหนมาก็สู้บนนี้เค้าไม่ได้จริงๆ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
DAY 4 : The National September 11 Memorial Museum
วันนี้เน้นเที่ยวกันชิลๆ ไม่ได้ไปหลายที่มากนัก โดยที่แรกที่ก๊อตมา คือ The National September 11 Memorial Museum พิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สร้างความช็อคและสะเทือนใจให้แก่ชาวอเมริกันและคนทั่วโลก นั่นคือเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มก่อการร้ายอัลกออีดะฮ์ (al-Qaeda) ที่มีอุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama bin Laden) เป็นผู้นำ ด้วยการจี้เครื่องบิน 4 ลำ โดย 2 ลำนั้นถูกจี้ให้พุ่งชนตึก World Trade Center ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 จนทำให้ตึกแฝดสูงระฟ้าที่ตั้งสง่าเคียงคู่กันพังถล่มลงมา เหลือเพียงเศษซากของตึกในพริบตา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายรวมทั้งสิ้น 3,400 คน เลยทีเดียว
โดย The National September 11 Memorial Museum เค้าสร้างขึ้นมาบนบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของตึก World Trade Center ออกแบบโดย Michael Arad โดยบริเวณด้านหน้าจะมี Ground Zero ที่เป็นสระน้ำ 2 สระ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ มีขนาดเท่ากับฐานเดิมของตึกแฝด World Trade Center ที่พังถล่มลง โดยตรงกลางสระเป็นพื้นที่โล่งลึกลงไป โดยมีน้ำตกไหลลงสู่ข้างล่างอยู่ตลอดเวลา และด้านบนขอบสระมีแผ่นสลักลายชื่อของผู้เสียชีวิตและผู้สูญหาย ซึ่งเราจะเห็นคนเค้าเอาดอกไม้ หรือธงชาติมาปักเพื่อรำลึกถึงอยู่เสมอ
สำหรับส่วนของมิวเซียมนั้น ใครที่มี Go! New York Pass แบบก๊อต เราสามารถเข้าได้เลยนะ ทั้งนี้ก๊อตแนะนำว่าให้เรามาที่นี่ตั้งแต่เค้าเปิด เพราะว่าทางมิวเซียมมีจำกัดจำนวนคนเข้าด้วยนั่นเอง
ภายในมิวเซียมเค้าจะเป็นรูททางเดินที่เราจะลัดเลาะไปชั้นใต้ดินที่มีการจัดแสดงทั้งเศษซากและข้าวของที่หลงเหลืออยู่ รถดับเพลิงที่ใช้ในสถานการณ์จริง รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บันไดแห่งการรอดชีวิต มอเตอร์ของลิฟต์ความเร็วสูง โครงเหล็กมากมาย ที่ล้วนเป็นซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์จริงในครั้งนั้น และกลายเป็นอนุสรณ์ในวันนี้ที่คนอเมริกันและคนทั่วโลกนั้นเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน
พอได้มาเดินดูของจริง มันรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหดหู่มาก เพราะตัวก๊อตเองก็ทันช่วงเหตุการณ์ 9/11 พอดีแบบติดตามากจากข่าวใหญ่ที่ล้วนรายงานสดออกทีวีแทบจะทุกช่อง ใครที่อยากเห็นร่องรอยของโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในอเมริกาหรือครั้งนึงที่เคยเห็นข่าว 9/11 ในทีวี ก๊อตก็อยากทุกคนได้มาดูของจริงกันที่นี่นะ แม้จะหดหู่ใจไปบ้าง แต่อย่างน้อยเราก็ได้มาเห็นเศษซาก ที่ในอดีตนั้นเคยยิ่งใหญ่ที่คนทั่วโลกต้องกล่าวถึง
One World Observatory / One World Trade Center)
เสร็จจาก The National September 11 Memorial Museum แล้ว อย่าลืมขึ้นไปดูวิวสกายไลน์เมืองนิวยอร์กกันต่อบนตึก One World Trade Center กันด้วยนะ โดยตึกนี้ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดอันดับ 6 ของโลก และสูงที่สุดในซีกโลกฝั่งประเทศตะวันตก ที่ความสูง 541 เมตร โดยตั้งสวยงามตั้งโดดเด่นบนเกาะแมนฮัตตันตอนล่างของนิวยอร์ก แทนที่ตึกแฝดเก่า ‘World Trade Center’ ที่เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ โดยชั้น 100-102 เค้าทำเป็นจุดชมวิว One World Observatory ที่เราสามารถเดินเล่น ชมวิวเมืองนิวยอร์กได้แบบ 360 องศาเล้ย
แน่นอนว่าตึก One World Trade Center เค้ามีความน่าสนใจหลายอย่าง ด้วยความที่ตึกนี้เค้ามาแทนที่ตึกแฝด World Trade Center เดิม เลยทำให้หลายอย่างของที่นี่นั้น ได้สร้างอนุสรณ์หลายอย่างให้ทุกคนได้รำลึกถึงตึกแฝดเก่า ทั้งความสูงของตัวตึก (ที่ไม่รวมเสา) 417 เมตร ที่เท่ากับความสูงเดิมของตึกแฝด หรือแม้แต่ความสูงของตึกที่รวมเสาแล้ว อยูที่ 1776 ฟุต (541 เมตร) ซึ่งเป็นตัวเลขของปีที่อเมริกาเค้าประกาศอิสรภาพนั่นเอง นอกจากนี้ ฐานของตึกใหม่ยังเท่ากับตึก World Trade Center เดิมด้วยนะ
สำหรับจุดชมวิว One World Observatory บนตึก One World Trade Center นั้น ส่วนตัวก๊อตว่าค่อนข้างธรรมดาม๊าก ลูกเล่นใดๆ ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ส่วนวิวเมืองนั้น ต้องบอกว่าสกายไลน์เมืองนิวยอร์น่ะมันสวยอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบวิวกับ Observation Deck อื่นด้วยกันอย่าง Top of The Rock บนตึก Rockefeller Center, จุดชมวิวบนตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) หรือแม้แต่ The Edge จะบอกว่าที่นี่นั้นสวยน้อยสุดแหละ ด้วยความที่ตึก One World Trade Center มันอยู่ปลายเเหลมของเกาะเเมนฮัตตันเเล้ว เราเลยมองเห็นวิวนิวยอร์กได้ไม่ค่อยปังและอลังมากเท่าไหร่ ถ้าใครที่ชอบมาดูวิวเมือง รวมถึงมีพาสต่างๆ อย่างพวก Go! New York Pass จะมาเก็บที่นี่ด้วยก็ได้อยู่ แต่ถ้าใครที่ไม่มีพาส และต้องเลือกจุดวิวชมวิว แนะนำให้ข้ามอันนี้ไปก็ได้ เพราะราคาตั๋วมันก็ไม่ได้ถูกเด้อ 5555
World Trade Center Transportation Hub (Oculus)
เมื่อเรามาเที่ยวแถวๆ World Trade Center (WTC) แล้ว ทุกคนต้องสะดุดกับอาคารเล็กๆ รูปทรงแปลกตานี่แน่นอนกับ World Trade Center Transportation Hub หรือที่ทุกคนเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘Oculus’ ที่เป็นฮับรถไฟฟ้าใต้ดินกว่า 12 สาย รวมทั้งยังเป็นห้างที่รวมเอาร้านค้าและร้านอาหารเอาไว้รวมกันตรงนี้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามาเที่ยวโซน World Trade Center (WTC) คือเราต้องได้มาสถานีรถไฟนี้อย่างแน่นอน 100% ฮ่าๆ
สำหรับตึกสถานี Oculus นั้นออกแบบโดย Santiago Calatrava สถาปนิกชาวสเปนชื่อดังที่ออกแบอาคารภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ความหวัง’ คล้ายกับนกที่ถูกปล่อยออกจากมือเด็กที่สื่อถึงความเป็นเสรีภาพ และความหวังที่ไม่ว่านิวยอร์กจะเจออุปรรคหรือขวากหนามมากเพียงใด นิวยอร์กกับจะผ่านมันไปได้เสมอนั่นเอง
โดยดีไซน์ของตัวอาคารนั้นจะเป็นสีขาว ทำมุมโค้งโน้มเข้าหากันเป็นรูปทรงวงรี มีโครงเฟรมสีขาวยื่นออกไปเหมือนปีกนก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานีรถไฟที่ดีไซน์โดดเด่นและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เห็นสวยแบบนี้ Oculus ถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่มีค่าก่อสร้างแพงมากที่สุดในโลกในราคา 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 1.39 แสนล้านบาท) เลยนะเออ ไม่ธรรมดานะจ๊าา
ด้านนอกอาคารว่าสวยแล้ว บรรยากาศภายในก็สวยมากเช่นกัน โดยด้านในจะเป็นลานโถงโล่งที่คนเดินกันขวักไขว่ บริเวณรอบๆ มีร้านค้า และร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มไปหมด บอกเลยว่าดีไซน์เค้าสวยจริง จนตอนนี้ Oculus กลายเป็นอีกหนึ่งจุด Instagrammable ที่นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมมาถ่ายรูปกันเยอะมากก ส่วนก๊อตเองก็ได้แต่ถ่ายตึก ถ่ายตัวเองคือไม่ไหวเพราะมาเที่ยวคนเดียว จะให้ตั้งกล้องถ่ายก็เขิลอยู่ เพราะคนเยอะม๊ากกก 5555555
DAY 5 : The Whitney Museum of American Art
อีกหนึ่งอาร์ตมิวเซียมที่ก๊อตชอบมากที่สุดในนิวยอร์ก คือ The Whitney Museum of American Art ที่เค้ารวบรวมชิ้นงานต่างๆ เอาไว้กว่า 21,000 ชิ้น โดยมีตั้งแต่งานประติมากรรม ภาพถ่าย และผลงานศิลปะสมัยใหม่ของอเมริกาในศตวรรษที่ 20 โดยเน้นไปที่ผลงานจากศิลปินอเมริกันที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเป็นหลักนั่นเอง
The Whitney Museum of American Art ก่อตั้งโดย Gertrude Vanderbilt Whitney ในปี ค.ศ. 1930 โดยในช่วงเวลานั้นเธอเห็นว่าศิลปินชาวอเมริกันที่มีแนวคิดใหม่ๆ ได้สร้างสรรค์ผลงานออกมามากมาย แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของการนำผลงานไปจัดแสดง เธอจึงเริ่มซื้อและรวบรวมผลงานเอาไว้กว่า 700 ชิ้น โดยตอนแรกวิทนีย์พยายามจะบริจาคชิ้นงานทั้งหมดให้ The MET เพื่อจัดแสดงโชว์ผลงาน แต่ดันโดนปฏิเสธ สุดท้าย วิทนีย์เองเลยสร้างมิวเซียมของตัวเองขึ้นมาเองเลยจ๊า และเริ่มเอาผลงานทั้งหมดมาจัดแสดงอยู่ใน The Whitney Museum of American Art เรื่อยมา จนท้ายที่สุด วิทนีย์ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่กลายเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะอเมริกันอย่างแท้จริง
เมื่อเราเดินสำรวจรอบๆ สิ่งที่ก๊อตชอบมาก คือ ด้านบนของอาคารในแต่ละชั้นจะมี Installation Art ทั้งโต๊ะ เก้าอี้รูปทรงแปลกตา ที่เค้าเอามาตั้งไว้ตามพื้นให้เราได้มานั่งเล่น ท่ามกลางวิวแม่น้ำฮัตสัน (Hudson River) ให้ความรู้สึกเหมือนคนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งร่วมกับชิ้นงานนั้นๆ ได้เลย แถมวิวตรงนี้เองก็ดีมากอีกด้วย สามารถนั่งชิลๆ ซึมซับความเป็นนิวยอร์กได้อย่างดีเลย
และด้วยความที่ The Whitney Museum of American Art เค้ารวบรวมงานชิ้นงานศิลปะสมัยใหม่ของอเมริกาทั้งหมดเอาไว้ มันเลยทำให้ก๊อตรู้สึกว่าตัวเองเข้าถึงงานศิลปะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นมาก นี่เลยเป็นเหตุผลให้ก๊อตชอบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะเราจะได้สัมผัสอะไรหลายๆ อย่างในความเป็นอเมริกันสมัยใหม่ได้เยอะมาจริงๆ ทั้งวัฒนธรรม ค่านิยมในยุคสมัยใหม่ของคนอเมริกันอย่างถึงแก่น ผ่านชิ้นงานในนิทรรศการถาวร และนิทรรศการหมุนเวียนของเค้านี่แหละ ใครที่ชอบดูงานสมัยใหม่ แนะนำที่นี่เลยจริงๆ ถือว่าเริ่ดดด
ส่วนใครที่เวลาเหลือและอยากเดินเล่นรอบๆ The Whitney Museum of American Art ย่านนี้เค้าถือเป็นอีกย่านชิคที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารเยอะมาก รวมถึงยังมีบูทีคช็อปแบรนด์เนมต่างๆ ให้เราได้ช้อปแบบละลายเงินได้อีกด้วย บอกเลยว่าไวบ์แถวนี้คือโคตรดี
จุดชมวิว The Edge
ถ้าถามว่าจุดชมวิวที่ไหนในนิวยอร์กที่ป็อปในหมู่เหล่า Instagrammer นี่ขอยกให้กับ Edge กับจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนชั้น 100 ของตึก Hudson Yards จุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นวิวแมนฮัตตัน (Manhattan) ที่ถูกขนาบด้วยแม่น้ำฮัตสัน (Hudson River) ได้ไกลสุดสายตาเลย
โดยไฮไลท์เด็ดการออกแบบพื้นที่ทรงสามเหลี่ยมที่ยื่นออกไปกลางอากาศจากตัวตึก ที่เราสามารถเดินออกมายืนถ่ายรูปและชมวิวได้ แน่นอนว่าภาพที่ได้ก็จะชวนหวาดเสียวหน่อยๆ แต่ได้ความปังของรูปที่ต้องยกมงให้เค้าเลย ซึ่งมันฮิตมากจนกลายเป็น Signature ที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวนิวยอร์กจะต้องขึ้นมาถ่ายรูปกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพื้นกระจกใสที่สามารถมองทะลุลงไปถึงพื้นด้านล่างได้อีกด้วย ใครกลัวความสูงนี่ต้องมีขาสั่นกันซักหน่อยแหละ
สำหรับจุดชมวิว Edge นั้น อย่างที่รู้กันว่าก๊อตไปเที่ยวนิวยอร์กคนเดียว และด้วยตอนนั้นที่คนเยอะมาก แถมฟ้ายังมืดแล้ว ก็เลยถ่ายรูปตัวเองแทบไม่ได้เพราะถ้าจะให้ตั้งกล้องถ่ายเองก็ลำบากเว่อ เพราะคนเต็มไปหมด ตัวก๊อตก็เลยไม่มีรูปตัวเองปังๆ ซักรูป 55555555555 เอาเป็นว่า ใครที่ชอบดูวิวมุมสูงของนิวยอร์กและอยากมีรูปปังๆ ก็มาที่นี่โลด ถือว่าโอเคอยู่เด้อ
DAY 6 : Hudson Yard
เดอะ เวสเซล (The Vessel)
สำหรับย่าน Hudson Yards นี้จัดว่าเป็นโปรเจคยักษ์ใหญ่และใช้เงินลงทุนมากที่สุดของอเมริกาในการพัฒนาพื้นที่โดยมีบริษัทเอกชนที่ลงเงินลงทุนไปกว่าล้านล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่ในแถบแมนฮัตตันให้มากขึ้น ภายใต้แนวคิด ‘Manhattan’s Mini-City’ ที่เหมือนเป็นการสร้างเมืองมินิย่านใหม่ของนิวยอร์กโดยสร้างคร่อมทางรถไฟเดิม โดยมีทั้ง ตึกมิกซ์ยูสที่เป็นทั้งห้าง ที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร โรงละคร รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ขึ้นมาแบบพรึ่บพรั่บ ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆ บนพื้นที่รวมทั้งหมด 70 ไร่ และคาดการณ์ว่าย่านนี้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2025
แลนด์มาร์คหลักของย่าน Hudson Yards ที่โดดเด่นสะดุดตาทุกคนก็คือ เดอะ เวสเซล (The Vessel) ที่เที่ยวใหม่อันโด่งดังในโลกโซเชียลที่ตอนนี้ถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนแบบไม่กำหนด เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายเคสที่คนขึ้นไปแล้วกระโดดฆ่าตัวตายลงมา หลังจากนั้นทางการนิวยอร์กเค้าเลยสั่งปิดไม่ให้คนขึ้นไปเดินเที่ยวเล่นด้านบนอีก ซึ่งปัจจุบันปี 2023 จากที่ก๊อตเช็คดูแล้วเค้ายังไม่อนุญาตให้ผู้คนขึ้นไปด้านบนอยู่ดีดังนั้น ใครตั้งใจมาที่นี่ คือต้องเน่นมาเดินเล่นถ่ายรูปอยู่รอบๆ เดอะ เวสเซล (The Vessel) แทน
สำหรับ เดอะ เวสเซล (The Vessel) เป็นพื้นที่สาธารณะที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสีทองแดง คล้ายรังผึ้งสูงกว่า 46 เมตร เทียบเท่ากับตึก 15-16 ชั้นเลยทีเดียว โดยที่นี่ตั้งอยู่ใจกลาง Hudson Yards ที่เป็นชื่อเรียกของโครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำแม่น้ำฮัตสัน (Hudson River) บริเวณฝั่งตะวันตกของเกาะแมนฮัตตัน โดย เดอะ เวสเซล (The Vessel) ออกแบบโดย Nelson Byrd Woltz ดีไซเนอร์คนดังสัญชาติอังกฤษ จาก Heatherwick Studio มาเป็นผู้ออกแบบตัวอาคารให้ ซึ่งรูปทรงรังผึ้งที่เราเห็นกันนี้ ดีไซเนอร์เค้าได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมบ่อน้ำขั้นบันไดโบราณหรือที่เรียกกันว่า Stepwell ของประเทศอินเดีย โดยด้านในเค้ามีบันไดถึง 2,500 ขั้น ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นแบบแยกชิ้นส่วนออกเป็น 154 ชุดในประเทศอิตาลี จากนั้นก็ส่งผ่านเรือมาประกอบกันเป็นวงกลม 8 วงที่ซ้อนขึ้นไปอย่างที่เราเห็นกันตรงหน้านี้เลย คือสุดมากก
โดยรวมแล้ว เจ้า เดอะ เวสเซล (The Vessel) ถือเป็น Public Space ที่ช่วยเสริมเติมแต่งให้เมืองนิวยอร์กดูมีความเก๋ และสวยงามมากยิ่งขึ้น จะว่าไปก็แอบเสียดายที่เราไม่ได้ขึ้นไปด้านบน แต่นี่ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไม เพราะถ้าเราได้เห็นราวบันไดจากรูปที่คนเคยเดินขึ้นไปเที่ยวด้านบนนั้น คือมันน่าหวดเสียวจริง และสามารถเกิดอุบัติเหตุหรือหากคิดจะกระโดดลงมาก็สามารถทำได้แบบง่ายๆ เลย ทำให้ตั้งแต่เปิด เดอะ เวสเซล (The Vessel) มานั้น เกิดเหตุการณ์สลดขึ้นไปแล้วถึง 3 ครั้งในระยะเวลาแค่ปีกว่าๆ ทำให้ที่นี่ถูกสั่งปิดๆ เปิดๆ อยู่เป็นพักๆ และล่าสุดก็คือปิดถาวรแบบไม่มีกำหนดเปิดนี่แหละ
สำหรับคนที่อยากได้รูปลงอินสตาแกรมเก๋ๆ ให้เห็นถึงความเวอร์วังของประติมากรรมความเป็นอเมริกา เรายังสามารถมาถ่ายรูปบริเวณรอบๆ ด้านล่างได้น้า แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศของจริงด้านบน แต่แค่ได้ถ่ายรูปรอบๆ ก็จัดว่าคูลอยู่เน้อ
เดอะ ฮายไลน์ (The High Line)
เดินจาก เดอะ เวสเซล (The Vessel) ไม่ไกลมาก เราจะไปต่อกับจุดเริ่มต้นของสวนสาธาณะลอยฟ้าที่ก๊อตว่าไอเดียของเค้าโครตคูล คือที่ เดอะ ฮายไลน์ (The High Line) สวนสาธารณะลอยฟ้าความยาวกว่า 2.33 กิโลเมตร ที่ดัดแปลงมาจากทางรถไฟเก่า (The New York Central Railroad Line) โดยเส้นทางของเค้าเริ่มต้นจากถนน Gansevoort ในย่าน Meatpacking ทอดยาวไปจนถึง West Side Yard หรือย่าน Hudson Yard ที่ก๊อตจะเริ่มต้นเดินสำรวจ โดย เดอะ ฮายไลน์ (The High Line) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะลอยฟ้าที่คนบ้านเค้าชอบมาเดินรับลมชมวิวของเมือง ซึ่งมู้ดเค้ามันดีมาก ทั้งการจัดสวนบนทางเดินที่แปลงมาจากรถไฟที่ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยของนิวยอร์กที่ล้อมด้วยตึกสูงทั้งแบบตึกแบบอิฐจนถึงตึกแบบโมเดิร์น บอกเลยว่าเดินเล่นแล้วชมเมืองไปด้วย คือโคตรฟินเลยล่ะ
ก๊อตขอเล่าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ เดอะ ฮายไลน์ (The High Line) กันหน่อย โดยขอย้อนกลับไปในช่วงปี 1930 ทางรถไฟสายนี้ชื่อว่า West Side Line ถูกใช้สำหรับขนส่งอาหารไปยังแมนฮัตตันตอนล่าง ซึ่งในช่วงเวลานั้นรางรถไฟมันอยู่บริเวณที่พื้นด้านล่างเหมือนทางรถไฟบ้านเรานั่นแหละ แต่โชคไม่ดีตรงที่มีคนเดินเท้าเสียชีวิตจากการโดนรถไฟชนในแต่ละปี ราวๆ 540 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมาก แม้ว่าเค้าจะจ้างคนมายืนโบกธงสีแดงเพื่อคอยเตือนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุลงเลย ทีนี้ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดบ่อยย่านนี้เลยถูกขนานนามว่าเป็น Death Avenue เลย
ในเวลาต่อมารัฐบาลเมืองนิวยอร์ก ร่วมมือกับกลุ่มคณะกรรมการขนส่งมวลชน ได้มาปรับปรุงพื้นที่โซนนี้ ภายใต้ชื่อ The West Side Improvement Project ด้วยการยกระดับจากทางรถไฟบนทางพื้นถนนให้กลายเป็นรางรถไฟลอยฟ้า เพื่อความปลอดภัยมากขึ้น และใช้ชื่อทางรถไฟใหม่ว่า The High Line ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แม้ว่าเค้าจะยกรางรถไฟไปวิ่งลอยฟ้าแล้ว แต่ในปี 1960 เป็นต้นมา ทางรถไฟสายนี้แทบไม่ถูกใช้งานเลย จนกระทั่งในช่วงปี 1980 ได้มีการขอให้รื้อถอนทางรถไฟ The High Line ทิ้งไป ซึ่งเค้าก็ยังไม่ได้รื้อถอนออกในทันที แถมยังปล่อยร้างลากยาวกันมาหลายปี จนถึงปี 1983 เมืองเค้าเริ่มมีแนวคิดปรับเปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้กลับมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดย Peter Obletz ผู้ที่หลงใหลในเรื่องของรถไฟได้ก่อตั้งมูลนิธิ West Side Rail Line Development Foundation ขึ้นมาเพื่อพยายามอนุรักษ์โครงสร้างของรางรถไฟเอาไว้ และในปีเดียวกันนั้น สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติระบบเส้นทาง (Trail System Act) ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสิทธิในที่ดินที่ซับซ้อน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางรถไฟตรงนี้ ให้กลายเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าได้
แต่ขอบอกว่าแม้กฎหมายจะเอื้อให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้งานได้ แต่ The High Line ก็ยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ถึงความเหมาะสม ไม่เหมาะสมมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 1999 Joshua David และ Robert Hammond ได้รับแรงบันดาลใจจากความงามของภูมิทัศน์โดยรอบของทางรถไฟสายนี้ จึงได้ก่อตั้ง Friends of the High Line ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์ที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และนำเส้นทางรถไฟลอยฟ้ากลับมาใช้ใหม่ ให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่ง Friends of the High Line ยังคงเป็นกลุ่มเดียวที่รับผิดชอบในการบำรุงรักษาและการดำเนินงานของ The High Line จนถึงปัจจุบัน โดยสวนลอยฟ้าที่เราเห็นสวยๆ นี้ เค้าได้มีการต้นไม้มากกว่า 500 สายพันธุ์เลยด้วยนะ
โดยส่วนตัวแล้วก๊อตชอบไอเดียของเค้ามากเลย ความเอาทางรถไฟเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วมาเป็นทางเดินสาธารณะให้คนในพื้นที่ได้สัญจรไปมา รวมถึงได้มีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สีเขียวมากขึ้น อันนี้ถือว่าเจ๋งมาก และด้วยความที่ทางเดินมันมาจากทางรถไฟเก่าเส้นทางมันเลยค่อนข้างยาวม๊ากก (และยังมีทางเดินลงตลอดเส้นทางด้วยนะ) ให้เราได้เดินเล่น ชมเมืองชิลๆ ในบรรยากาศที่ดีสุดๆ
นอกจากจะเป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สัญจรเพิ่มเติมให้กับเมืองนิวยอร์กแล้ว ตามจุดต่างๆ บนทางเดินยังมี High Line Art ศิลปะร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นพวกประติมากรรม รูปปั้น ภาพจิตรกรรม ตั้งอยู่กระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ ให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ที่เค้าต้องการสื่อให้เห็นว่างานศิลป์เหล่านี้มันสามารถกลมกลืนไปกับเมืองได้อย่างลงตัว เดินไปก็คิดในหัวไปว่า นิวยอร์กทำไมมันโคตรครีเอทจังวะ นี่อยากให้บ้านเรามีแบบนี้บ้างจัง ไม่จำเป็นต้องทุบทิ้ง แต่เอากลับมาใช้ประโยชน์ได้จริง อันนี้แนะนำให้มาเดินเล่นดู ได้เห็นเมืองเค้าแบบไม่ต้องกลัวรถติดเลย ปิดจบการเที่ยววันที่ 6 ได้แบบดีย์มาก
DAY 7 : เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park)
สองวันสุดท้ายในนิวยอร์ก เดินแว๊บไปแว๊บมาบ่อยเหลือเกินกับที่นี่ แต่วันนี้เราจะเข้าไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์กันที่ เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ที่หลายคนน่าจะรู้จักชื่อสวนสาธารณะอันใหญ่โตของนิวยอร์กกันอย่างดีผ่านสื่อต่างๆ โดยที่นี่เปรียบเสมือนปอดสีเขียวใจกลางเมืองบนพื้นที่ 750 ไร่ แม้ว่าที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อันดับสองในนิวยอร์ก แต่สวนนี้กลับกลายเป็นสวนสาธารณะที่มีคนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในโลก และยังมีภาพยนต์กว่า 532 เรื่องที่เครดิตสถานที่นี้ในการถ่ายทำ ซึ่งถือว่าเยอะมากที่สุดของโลกอีกด้วย บอกเลยว่าสวนนี้เค้ายิ่งใหญ่มากกกก!
เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นโบว์แดงของนิวยอร์กในช่วงศตวรรษที่ 19 ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1853 โดยช่วงนั้นคณะกรรมการของนิวยอร์กเค้าได้ลงมติให้มีการสร้างพื้นที่สีเขียวแบบยั่งยืนเพิ่มขึ้นภายในเมือง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูทางธรรมชาติ และทำให้สิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ซึ่งเสื่อมโทรมไปแล้ว กลับมาสวยงามได้อีกครั้ง โดย Frederick Law Olmsted และ Calvert Vaux สองสถาปนิกฝีมือดีได้ออกแบบภูมิทัศน์ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ภายในสวนแห่งนี้ โดยอิงให้เข้ากับธรรมชาติเดิมมากที่สุด โดยการออกแบบภูมิทัศน์สวนสาธารณะแบบนี้ถือเป็นการออกแบบสวนครั้งแรกของอเมริกาเลย
สิ่งปลูกสร้างที่ว่าก็จะได้แก่ ปราสาท Belvedere ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา Vista Rock, Dairy, Chess & Checkers House ที่เล่นหมากฮอสและหมากรุก, North Woods หนึ่งในโอเอซิสกลางเมืองนิวยอร์ก, Naumburg Bandshell อาคารสไตล์นีโอคลาสสิก, Conservatory Garden สวนเรือนกระจก, Arches สะพานโค้งข้ามแม่น้ำ, ลานน้ำพุ Bethesda ขนาดใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่น ทั้งหมดนี้ถูกจัดวางเข้ากับสวนได้อย่างกลมกลืนและไม่ไปทำร้ายทัศนียภาพเดิมๆ ของสิ่งปลูกสร้างที่เคยมีอยู่เลย
ตอนที่ก๊อตไปเดินกินลมส่องวิวใน เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) สวนเค้าคือจัดมาได้สวยและใหญ่มากทุกคน แถมด้านในยังมีจุดให้คนได้พักผ่อนและเลือกนั่งตามมุมที่ชอบอีกเพียบ ซึ่งเค้าบอกกันว่าที่นี่เค้ามีเก้าอี้มากกว่า 10,000 ตัว ตั้งกระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ เลยล่ะ
จุดแลนด์มาร์คของ เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ที่ต้องมากเลยก็คือสะพาน Bow Bridge ที่ของจริงสวยมาก ตัวสะพานพาดผ่านคลองสายเล็กๆ ที่เชื่อมมาจากทะเลสาบอันใหญ่โตใจกลางสวน โอบล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวสุดร่มรื่น และฝั่งนึงยังมีแบล็คกราวด์ของเหล่าตึกนิวยอร์กที่ตั้งเรียงรายอย่างสวยงาม นี่ยกให้เป็นมุมถ่ายรูปลงไอจีที่บอกเลยว่าสวยสับมากที่สุดของเซ็นทรัลพาร์คเลยล่ะ เสียดายเว่อร์ที่ตัวก๊อตเองไม่ได้ถ่าย อย่างที่รู้กันว่านี่มาเที่ยวคนเดียว แล้วตรงนั้นคนเยอะม๊าก รู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ที่จะตั้งกล้องถ่ายรูปเอง 55555
ใครที่พอมีเวลาชิลๆ จะลองมานั่งปั่นพายเรือเป็ด หรือจะนั่งปิกนิกกันรอบๆ ทะเลสาบก็ได้น้า แต่ที่เห็นเยอะสุดคือ คู่เดทที่เค้าจูงมือเดินเล่นกระหนุงกระหนิงกันเยอะม๊าก ไอ้เรามาคนเดียวก็ได้แต่ตาร้อนอยู่ไกลๆ เลยเลือกไปนั่งรับลมชิลๆ คนเดียวแทน โอย 555555
อีกจุดที่ควรค่าแก่การมาเดินชม คือลานน้ำพุ Bethesda ลานพลาซ่าใจกลาง เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) นอกจากจะได้ดูความงดงามของน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์กแล้ว เราจะได้เห็นผู้คนเค้ามาทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ทั้งกลุ่มคนที่วิ่งเล่นกัน บางคนมาเปิดหมวกเล่นดนตรี ลองนึกภาพตามก๊อตดูว่าตัวเรากำลังเดินเล่นท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่พร้อมกับลมพัดเย็นๆ ท่ามกลางต้นไม้ที่พัดลู่ลมไปมา นี่มันสวรรค์ของการพักผ่อนที่ชิลเอาเรื่องจริงๆ ใครมานิวยอร์กแล้วเบื่อเมือง อยากหามุมสงบๆ ผ่อนคลายต้องมา เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) เน้อ
สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge)
ย้ายตัวมาที่ สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) หนึ่งในแลนด์มาร์คไอคอนิกของนิวยอร์กที่ถ่ายรูปมุมไหนก็ตะโกนว่าที่นี่คือนิวยอร์ก กับสะพานแขวนขึงลวดแห่งแรกของโลกและเก่าแก่ที่สุดในอเมริกา โดยเป็นสะพานที่มีทั้งทางรถยนต์ ทางเดินเชื่อมต่อระหว่างเกาะแมนฮัตตันและย่านบรูคลินที่มีทั้งรถราวๆ 120,000 คันสัญจรไปมา และคนเดินข้ามสะพานมากว่า 4,000 คนต่อวันเล้ย และสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ หลายคนยกให้ สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) เป็นอีกหนึ่ง Bucket List ของนิวยอร์กที่ทุกคนอยากจะมาถ่ายรูปและเช็คอินแบบที่สุด รวมถึงตัวก๊อตด้วยนี่แหละ
สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 14 ปี เลยนะ โดยเค้าสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1883 ตัวสะพานทำด้วยหินและเหล็กกล้า มีความยาวสะพาน 1,833 เมตร พาดผ่านแม่น้ำอีสต์ (East River) ซึ่งตอนแรกเค้าเรียกชื่อสะพานนี้ว่า ‘New York and Brooklyn Bridge’ โดยสมัยนั้น ย่านบรูคลินยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนิวยอร์กเลย จนท้ายที่สุดในปี 1915 ชื่อของสะพานนี้ถูกเปลี่ยนเหลือเพียงแค่คำว่า ‘Brooklyn Bridge’ และใช้มาเรื่อยจนถึงปัจจุบันนี่แหละ โดยในปี 1964 นั้น สะพานบรูคลินถูกกำหนดให้เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ของชาติด้วย ใครที่มาเที่ยวนิวยอร์กไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ เหมือนมาไม่ถึงนิวยอร์กเค้าอะแกร
สำหรับการมาเที่ยวสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ของก๊อต คือเราจะเดินขึ้นจากฝั่งบรูคลิน เพื่อที่ว่าเวลาเราถ่ายรูป จะหันกล้องไปทางฝั่งเกาะแมนฮัตตันแบบสวยๆ นั่นเอง ทีนี้การเดินขึ้นของเรานั้นไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นตั้งแต่ตีนสะพานนะเว้ย เพราะเค้าจะมีทางขึ้นสะพานอยู่ตรงถนน ‘Prospect St’ บริเวณจุดที่อยู่ด้านใต้สะพานบรูคลินเลย
เอาล่ะ! ใครจะมาก๊อตแนะนำให้มาตอนเย็นแล้วอยู่ยาวๆ จนถึงกลางคืนไปเลย วิวมันเริ่ดมากกกก เราจะได้เห็นเหล่าตึกสูงทั้งสกายไลน์กระทบเข้ากับแสงส้มจากพระอาทิตย์ จนไปถึงช่วงกลางค่ำที่เค้าเปิดไฟแสงสีพรึ่บพรั่บ บอกเลยว่าโคตรสวย สวยแบบสวยมากจริงๆ ทั้งงตึกรามบ้านช่องที่รายล้อมทางเดินบนสะพานที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างคนต่างมาเดินกินลมชมวิวเ ใครมานิวยอร์กนี่คือต้องห้ามพลาด สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) เลยแหละ เพราะสำหรับก๊อตเอง มันถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของนิวยอร์กที่ยังติดภาพในหัวก๊อตจนถึงทุกวันนี้เลย ทับใจม๊ากก
Brooklyn Bridge Park
เดินลงมาจากสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ไม่ไกลกันมากนัก จะมี Brooklyn Bridge Park สวนสาธารณะบนพื้นที่กว่า 215 ไร่ รายล้อมไปด้วยต้นไม้มากมายตั้งอยู่ ซึ่งนี่เสิร์จเจอมาว่า เราสามารถมองเห็นวิวเมืองของฝั่งแมนฮัตตันจากสวนสาธาณะตรงนี้ได้สวยงามมาก ใครที่อยากมาเก็บวิวเมืองสวยๆ นี่แนะนำว่าให้เดินต่อมาเลย
Brooklyn Bridge Park เป็นสวนสาธาณะที่อยู่บนฝั่งของบรูคลิน (Brooklyn) โดยมีแม่น้ำอีสต์ริเวอร์ (East River) ไหลพาดผ่าน ภายในสวนสาธารณะเต็มไปด้วยกิจกรรมทั้งทางบกและทางน้ำให้ผู้คนในเมืองได้มาทำอยู่เยอะม๊าก ไม่ว่าจะเป็น เลนสำหรับวิ่งและปั่นจักรยาน ลานสำหรับตกปลา กิจกรรมพายเรือคายัก ไปจนถึงลานกว้างให้ผู้คนได้มาเล่นบาสเกตบอล วอลเลย์บอล และเตะฟุตบอลได้อีกด้วย ที่นี่เลยเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่เหมาะกับการมาพาครอบครัวมานั่งชิล ทำกิจกรรมร่วมกัน เห็นได้จากหลากหลายครอบครัวที่เค้าจูงลูกๆ มาเดินเล่นกันเพียบเลย
สำหรับเราแล้ว เราจะไม่ได้มาออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาแต่อย่างใด แต่เราจะชมวิวเมืองนิวยอร์กตรง Brooklyn Bridge Park ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองแบบฟรีๆ ที่สวยอลังมาก เราสามารถมาเดินเลียบแม่น้ำ แล้วมองเห็นดงตึกฝั่งแมนฮัตตันที่อยู่ตรงข้ามได้แบบเต็มสายตาเลย ภาพตึกสูงมากมายที่ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันไป อีกทั้งจุดนี้ เรายังสามารถมองเห็นสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ได้สวยที่สุดเพราะมันอยู่ใกล้ตัวสะพาน ทำให้เราได้เห็นตัวสะพานพาดผ่านแม่น้ำได้แบบเต็มตาเลย นี่ประทับใจการมายืนดูวิวที่นี่สุดๆ จนตอนนี้ภาพนั้นยังติดอยู่ในหัวเลยแหละ
ใครที่จะมาตามรอย ก๊อตแนะนำว่าให้มาเดินเล่นกันช่วงเย็นๆ แล้วอยู่ยาวๆ ไปจนถึงฟ้ามืดเลยนะ เพราะเราจะได้เห็นตึกเค้าเปลี่ยนมู้ดไปเรื่อยๆ ตามสีของพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตกลงสู่ทะเล ยิ่งพอฟ้ามืดสนิทแล้วทุกตึกเค้าเปิดไฟกันระยิบระยับนะ แกรเอ้ยย โคตรสวย สวยแบบสวยเกิ๊นนน ใครที่เดินเล่นบนสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) เสร็จแล้ว ลองเดินลงมาที่นี่ต่อเถอะ ไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน
DAY 8 : สวนสาธารณะวอชิงตันสแควร์ (Washington Square Park)
วันสุดท้ายของก๊อตสำหรับการเที่ยวนิวยอร์กและอเมริกาแล้ว หลังจากเปื่อยๆ มาหลายวันหน่อย วันนี้เลยจะเที่ยวเยอะขึ้นอีกนิดเพื่อส่งท้ายทริปอเมริกาอันยิ่งใหญ่ของก๊อตซักหน่อย ฮ่าๆ โดยที่แรกที่ก๊อตไปนั้นคือ สวนสาธารณะวอชิงตันสแควร์ (Washington Square Park) ที่ก๊อตต้องไปตรวจโควิดก่อนกลับประเทศไทย (ก๊อตไปเที่ยวในช่วงปีแรกๆ ที่โควิดยังระบาดหนักอยู่น้า แต่ตอนนี้เราไม่ต้องตรวจโควิดอะไรแล้วนะ) ด้วยความที่ต้องรอผลตรวจ ก็เลยได้ไปสำรวจและเดินเล่นในสวนนี้กันซักหน่อย
สวนสาธารณะวอชิงตันสแควร์ (Washington Square Park) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1871 โดยมีแลนด์มาร์คอย่างซุ้มประตูที่จัตุรัส Washington Square ที่สร้างขึ้นในวาระครบรอบ 100 ปี การเป็นประธานาธิบดีคนแรกของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ และน้ำพุขนาดใหญ่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่น พร้อมกับผู้คนที่ออกมานั่งกินลมในสวนนี้กันเยอะมาก ถือเป็นอีกสวนเล็กๆ ที่ค่อนข้างได้ฟีลกันเองดีเลยล่ะ
นอกจากความร่มรื่น ธรรมชาติแบบฉ่ำปอดแล้ว เค้ายังมีลานกิจกรรมที่คนเค้านิยมมาร้องเพลง และเต้นกันอย่างสนุกสนานเลยเชียวล่ะ บางมุมก็มีพื้นที่สำหรับนั่งดวลหมากรุก และที่วิ่งเล่นสำหรับน้องหมา น้องแมวอีกเพิ่มขึ้นมาด้วย เป็นอีกหนึ่งสวนสาธาณะที่คนนิวยอร์กเค้ามานั่งเล่น ทำกิจกรรมร่วมกันเยอะพอสมควรเลยเอาเป็นว่าใครมาแถวนี้ แล้วอยากหาสวนสาธารณะสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อยละก็ ก๊อตแนะนำที่นี่เลย
Little Island
ก่อนหน้าที่ก๊อตจะไปเที่ยวนิวยอร์ก คือจำได้เลยว่า Little Island เป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ที่ดังม๊ากในโลกโซเชียล ด้วยความที่เค้ามาแปลกโดยการสร้างเป็นเกาะขึ้นมา ซึ่งก๊อตตั้งใจแล้วว่าการมาเที่ยวนิวยอร์กรอบนี้คือต้องมาเช็คอินที่นี่ให้ได้โดยเจ้า Little Island นั้นเป็นสวนสาธารณะที่เมืองนิวยอร์กเค้าปรับปรุงขึ้นมาภายหลัง จากในปี 2012 ที่พายุเฮอริเคนแซนดี้ได้พัดถล่มชายฝั่งของนครนิวยอร์ก ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ท่าเรือหลายแห่งตามแนวแม่น้ำฮัดสัน (Hudson River) รวมถึง Pier 54 ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Little Island อีกด้วย
ถัดมาในปี 2013 Barry Diller จาก Diller-von Furstenberg Family Foundation ร่วมกับผู้นำ Hudson River Park Trust ได้เริ่มเตรียมแผนการปรับปรุพื้นที่ตรงนี้ จนเป็นที่มาของการสร้างสวนสาธารณะลอยน้ำแบบใหม่ Little Island ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการไปเมื่อปี 2021 โดยเค้าถือว่าที่นี่เป็นเหมือนโอเอซิสของคนนิวยอร์ก ด้วยสวนและต้นไม้ที่จัดไว้อย่างสวยงามตัดกันกับสกายไลน์ตึกนิวยอร์กที่ดูแล้วเท่ห์มากเลย โดยเฉพาะตัวฐานสีขาวคอยรองรับสวนลอยน้ำราวกับเป็นกระถางที่หน้าตาโคตรเก๋ รวมถึงภายในสวนยังมีกิจกรรมมากมายที่หมุนเวียนมาให้เราได้เลือกทำ ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีบอกเลยว่าฟีลดีมากกก
จากที่ก๊อตได้ไปเดินเล่น Little Island ต้องบอกว่าสวนสาธารณะเค้าโคตรดีเลย ด้วยแปลนของสวนที่เราสามารถเดินลัดเลาะไปตามจุดต่างๆ และวนเวียนไปในสวน เราจะได้เห็นบรรยากาศของทั้งตัวเมืองนิวยอร์กแบบสวยๆ รวมถึงวิถีชีวิตผู้คนที่ต่างคนต่างก็มาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ใครที่จะมาเที่ยว ก๊อตแนะนำเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ ไปจนถึงค่ำได้เลยนะ ถ้าใครที่มาช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี เราสามารถไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกับวิวแม่น้ำฮัดสันได้ที่ ‘Amphitheater’ เห็นเค้าบอกว่าสวยสุดๆ เลยล่ะ
ตลาดเชลซี (Chelsea Market)
สำหรับใครที่เดินเที่ยวเล่นสวนสาธารณะลอยน้ำ Little Island เสร็จแล้ว เดินมาไม่ใกลตรงย่านนี้เค้าจะมี Chealsea Market สำหรับคนที่เริ่มท้องร้อง อยากหาจะอะไรกินให้พุงป่อง ให้เราพุ่งตัวมาที่นี่ได้เลยโดยที่นี่เค้าจะเป็นสเปซที่รวมร้านค้า ร้านอาหาร และที่แฮงค์เอาท์หลากหลายร้าน โดยฟีลจะคล้ายกับ ‘The Commons ทองหล่อ’ บ้านเรานี่แหละ ใครจะมานั่งกินข้าว หาอะไรจิบชิลๆ ได้หมดเลย ส่วนตัวก๊อตเองนั้นแค่เข้าไปเดินผ่านเฉยๆ เพราะยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ 55555
สถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัล (Grand Central Terminal)
แวะมาเที่ยวกันต่อที่ สถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัล (Grand Central Terminal) สถานีรถไฟชุมทางทั้งบนดิน และใต้ดิน รวมถึงรถประจำทางที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ตัวอาคารของสถานีรถไฟเค้างดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Beaux-Arts ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะนีโอคลาสสิก โกธิค และเรอเนสซ็องส์ที่นิยมในประเทศฝรั่งเศสช่วงปี 1830 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 โดยบริเวณข้างในของสถานีรถไฟนั้น ยิ่งใหญ่สวยงามมาก มันมีความคลาสสิคผสมผสานกับความเก่าแก่ เสริมให้ดูขลังสมกับเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาจริงๆ
สถานีรถไฟแห่งนี้ เปิดทำการในปี 1913 ภายในมีทั้งหมด 44 ชานชาลา รวมถึงชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น ใครที่ได้ปเที่ยวอยากให้สังเกตบริเวณเหนือซุ้มประตูทางหลักด้านนอกอาคาร เค้าจะมีนาฬิกากระจกทิฟฟานี่สีทองขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยรูปปั้นกลุ่มเทพเจ้า ‘Transportation’ และ ‘Glory of Commerce’ 3 องค์ คือ เทพตรงกลางกับ เมอร์คิวรี่ (Mercury) หรือ เฮอร์มีส (Hermes) ที่ใส่หมวกมีปีก และถือไม้เท้าอยู่ในมือ เปรียบเหมือนเทพเจ้าแห่งการเดินทาง การค้า ธุรกิจด้านซ้ายจะเป็นเทพเฮอร์คิวลีส (Hercules) ที่ถือค้อน รอบตัวมีสมอ เฟือง ทั่ง เปรียบเหมือนเทคโนโลยีเหนือแผ่นดินและผืนน้ำ และด้านขวาคือเทพีมิเนอร์วา (Minerva) ถือปากกาขนนกไว้จดบันทึก เป็นตัวแทนของความเฉลียวฉลาดนั่นเอง โดยรูปปั้นเทพทั้ง 3 องค์นี้ หนักกว่า 1,500 ตัน เลยทีเดียว
เมื่อเราเข้ามาเดินเล่นด้านในห้องโถงหลักของสถานีรถไฟนั้น สถาปัตยกรรมของเค้านั้นโอ่อ่าและยิ่งใหญ่เอาเรื่องอยู่นะเว้ย ทั้งซุ้มหลังคาโค้งความสูง 38 เมตร และมีแสงส่องเข้ามาตลอดเวลาผ่านหน้าต่างทรงโค้งสูง 23 เมตร จำนวน 6 บาน ที่ทำให้ภายในดูสว่างไสว และเพิ่มความปราณีตด้วยบันไดหินอ่อนที่เลียนแบบโรงละครโอเปร่าในปารีส และที่เป็นแลนด์มาร์คเล็กๆ กลางห้องโถงก็คือเรือนนาฬิกา เรือนละเกือบ 700 ล้านบาท ตั้งอยู่เหนือบูธประชาสัมพันธ์ ที่เสมือนเป็นจุดรวมพลและจุดนับพบของคนนิวยอร์กที่เค้ารู้กันว่า หากพูดว่า “Meet me at the clock” นั้นหมายถึงการนัดเจอที่จุดนาฬิกานี้นั่นเอง
ดัมโบ้ (DUMBO)
ใครที่มาสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) แล้ว ก๊อตอยากให้ทุกคนมาที่ย่านดัมโบ้ (DUMBO) ที่ชื่อเค้าย่อมาจาก ‘Down Under the Manhattan Bridge Overpass’ ที่หมายถึงพื้นที่บริเวณด้านล่างใกล้กับสะพานแมนฮัตตันในฝั่งย่านบรูคลินนั่นเอง โดยย่านดัมโบ้ (DUMBO) เค้าเป็นย่านฮิตที่สายถ่ายรูปและเหล่า Instagrammer อย่างเราห้ามพลาดกับจุดถ่ายรูปฮิตในซอยที่มองเห็นวิวสะพานแมนฮัตตัน (Manhattan Bridge) เป็นแบร็กกราวน์ด้านหลังที่ก๊อตบอกเลยว่าโคตรสวย นอกจากนี้แล้ว ย่านนี้เองยังเป็นย่านที่รวมร้านอาหาร และช็อปบูทีค แกลอรี่ และครีเอทีพสเปซอีกเยอะมาก นั่นเลยทำให้ย่านนี้กลายเป็นอีกหนึ่งย่านคูลของนิวยอร์กที่หลายคนควรต้องมาเลย
Main Street Park
เดินออกมาจากซอยที่เราถ่ายรูปในย่านดัมโบ้ (DUMBO) มานิดเดียว เราจะเจอกับ Main Street Park สวนสาธารณะอีกแห่งที่ก๊อตอยากให้ทุกคนมาเที่ยวกันมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบนั่งชิลดูวิวเมืองนิวยอร์ก โดยเฉพาะตรงเวิ้ง Pebble Beach ที่บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวนิวยอร์กที่ก๊อตชอบมากที่สุดแห่งหนึ่งเลย โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ที่แสงไฟระยิบระยับของตึกสูงฝั่งเกาะแมนฮัตตันเริ่มฉายแสง พร้อมกับเสียงคลื่นแม่น้ำที่ซัดขึ้นลงเบาๆ นี่บอกเลยว่าบรรยากาศเค้าฟีลดีมากกก ยิ่งถ้าเรามากับเพื่อนหรือแฟน แล้วชวนกันมานั่งปิกนิกเบาๆ โดยการหิ้วเครื่องดื่ม หรือขนมมานั่งกินเปื่อยๆ ดูเมืองแสงสีของนิวยอร์กนะ คือโคตรดีเลยเว้ย
Time Out New York
ปิดท้ายการเที่ยวนิวยอร์กด้วยการมาเที่ยวกันที่ตึก Time Out New York อาคารของนิตยสารดังระดับโลกอย่าง Time Out ที่มีอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ กว่า 333 เมือง ใน 59 ประเทศทั่วโลก อย่างที่บ้านเราเองก็มี Time Out Bangkok ด้วยเช่นกันนะ โดยนอกจากที่นี่จะเป็นที่ตั้งของกองนิตยสาร Time Out New York แล้ว ตึกนี้ยังเป็นคอมมูนิตี้สเปซที่มีทั้งฟู้ดคอร์ทที่มีร้านอาหารเยอะแยะมากมายเลย ถ้าใครมาถึงเร็วหน่อย เราสามารถขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกได้ฟรีๆ แถมข้างบนยังวิวดี มี พื้นที่ให้เราได้นั่งชิลอีกด้วย แต่นี่แอบเสียดายไปหน่อย เพราะก๊อตไปดึกแล้ว เราเลยไม่ได้ขึ้นไปดูวิวบนดาดฟ้าของเค้าเลย ฮื้ออออ
และนี่ก็คือทั้งหมดของทริปเที่ยวนิวยอร์ก กว่า 8 วันที่ก๊อตใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์กได้คุ้มมาก เราได้เที่ยวแบบจัดเต็ม ชนิดที่เรียกว่าได้ตามเก็บแลนด์มาร์คเค้ามาแทบทั้งหมดเลย ถึงแม้บางวันจะเปื่อยและขี้เกียจ เก็บที่เที่ยวไม่ได้เยอะก็ตาม 5555555
สำหรับก๊อตแล้ว นิวยอร์กมันเป็นเมืองบัคเก็ตลิสที่ก๊อตใฝ่ฝันอยากมาเที่ยวตั้งแต่เด็กๆ ทั้งการเห็นเมืองเค้าผ่านสื่อต่างๆ มาแล้วมากมาย ซึ่งพอได้แล้วมาเที่ยวแล้วก็อิ่มเอิบหัวใจ เหมือนเราได้มาทำตามความฝันสำเร็จแล้วนั่นเอง โดยนิวยอร์กเองนั้นถือเป็นเมืองที่ครบเครื่องและโคตรมีสีสัน เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกสาย จะสายศิลป์ สายลุย สายชิลก็มีหมดให้ได้เที่ยว ใครมาอเมริกานี่ก็อยากให้เผื่อเวลาไว้หลายๆ วันสำหรับมาเที่ยวนิวยอร์กนะ บอกเลยว่าคุ้มมาก มาเที่ยวแล้วชีวิตเรามันคอมพลีทไปอีกขั้นแน่นอน เอาล่ะ เที่ยวกันมายาวนานแล้ว นิวยอร์กถือเป็นเมืองสุดท้ายที่เราจะเที่ยวกันแล้ว จบนี่ก๊อตก็บินกลับไทย ไปปั๊มตังค์ แล้วสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องกลับมาอีกครั้งให้ได้ เลิฟนิวยอร์กจังโว้ยยย
รีวิวเที่ยวอเมริกาครั้งแรก ยังไม่หมดเท่านี้ 🇺🇸🗽
เที่ยวอเมริกาให้เยอะขึ้นอีกจากรีวิวอเมริกาด้านล่างนี้ได้เลย
EP.0 (1) – USA Travel 101 กำลังเขียน
EP.0 (2) – 8 เหตุผล ทำไมต้องไปเที่ยวอเมริกาซักครั้งในชีวิต
EP.1 – Chicago
EP.2 – San Francisco กำลังเขียน
EP.3 - Pacific Coast Highway : Monterey + Carmel-By-The-Sea กำลังเขียน
EP.4 - Pacific Coast Highway : Big Sur กำลังเขียน
EP.5 - Pacific Coast Highway : Morro Bay + Santa Barbara กำลังเขียน
EP.6 – Los Angeles
EP.7 – Universal Studios Hollywood
EP.8 – Disneyland Park
EP.9 – Disney California Adventure Park
EP.10 – San Diego กำลังเขียน
EP.11 – Joshua Tree National Park
EP.12 – Death Valley National Park กำลังเขียน
EP.13 – Yosemite National Park กำลังเขียน
EP.14 – Washington D.C. กำลังเขียน
EP.15 – New York City
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡