คามาคุระ (Kamakura) หลายคนที่หารีวิวเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องเคยเห็นภาพของ “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) พระพุทธรูปสีเขียวองค์ใหญ่สูงถึง 13.35 เมตร ที่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งในวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) ที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คดังของ คามาคุระ (Kamakura) ผ่านตากันมาบ้างอย่างแน่นอน เพราะวัดแห่งนี้นั้นโด่งดังและเลื่องลือในเรื่องขององค์พระใหญ่มากเว่อร์ ถึงขนาดที่ว่าประเทศไทยบ้านเราได้มีการสร้างองค์พระใหญ่ไดบุตซึขึ้นที่วัดพระธาตุดอยพระฌาน ในจังหวัดลำปางให้ผู้คนได้มาสักการบูชากันขนาดนั้นเลย คุณพระ!
นอกจากจะไปสักการบูชา “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) องค์ออริจิแล้ว ใครที่เป็นแฟน “สแลมดั้ง” (Slam Dunk) อนิเมะบาสเกตบอลชื่อดัง แล้วเคยเห็นฉากที่ ซากุรางิ ฮานามิจิ ยืนรอรถไฟสายเอโนะเด็นสีเขียวบริเวณริมทะเล โดยมีฉากหลังเป็นทะเลและท้องฟ้าอันสดใส ก๊อตจะบอกว่าฉากนี้เค้าอยู่ที่เมืองคามาคุระ (Kamakura) เมืองวัฒนธรรมเล็กๆ แห่งนี้อีกด้วย แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วไม่ใช่คอมังงะ เกิดคำถามว่า “ไม่คุ้นเลยอะน้องก๊อต มันคือเมืองไหนกัน?” จะบอกว่าเมืองคามาคุระ (Kamakura) นั้นเป็นเมืองชายฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว (Tokyo) เลย เราสามารถเดินทางแป๊บเดียวก็มาถึงแล้ว อีกทั้งยังมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้ด้วย ว่าแล้วก็มาตามก๊อตไปเที่ยวด้วยกันก่อนได้นา เผื่อจบรีวิวนี้แล้วอยากมาตามรอยก็ไม่ว่ากัน
รู้จักกับเมืองคามาคุระ (Kamakura)
คามาคุระ (Kamakura) เป็นเมืองในจังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 50 กิโลเมตรจากโตเกียว (Tokyo) เมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ.1185-1333 ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเมือง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของรัฐบาลโชกุนคามากูระ และได้กลายเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1200 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1300 ในยุคคามากูระ ซึ่งปัจจุบันนี้ คามาคุระ (Kamakura) ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองชายฝั่งที่ผสมผสานสถานที่ท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว
โดยที่ คามาคุระ (Kamakura) ถือว่าเป็นเมืองสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพราะที่นี่มีสถานที่ทางศาสนาตั้งอยู่ภายในมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดที่มีมากกว่า 65 แห่ง ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์อีกถึง 19 แห่ง โดยหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองที่เปรียบเป็นแลนด์มาร์กของเมืองเลยก็คือ “พระใหญ่แห่งคามาคุระ” หรือ “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) พระพุทธรูปสูงถึง 13.35 เมตร ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเงียบสงบและยังได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติโดยรัฐบาลญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้เมืองคามาคุระ (Kamakura) สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวสายบุญรวมถึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทยให้มาเยือนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้เมืองคามาคุระ (Kamakura) ยังเป็นเมืองที่เหมาะกับการมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนมาก เนื่องจากพื้นที่ของเมืองหันหน้าออกไปทางทะเล โดยในหน้าร้อนของทุกปี คนญี่ปุ่นเค้าจะนิยมมาเที่ยวที่ชายหาดยูอิงาฮามะ (Yuigahama Beach) และชายหาดไซโมคุซะ (Zaimokuza Beach) สองชายหาดสุดป๊อบของเมืองที่ตอบโจทย์คนรักกิจกรรมทางน้ำและกลางแจ้ง ทั้งมาโต้คลื่น พายเรือ ว่ายน้ำ ไปจนถึงการมานอนอาบแดดชิลๆ
เรียกได้ว่า คามาคุระ (Kamakura) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มากล้นไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ใครที่หลงใหลในเสน่ห์ของวัดวาอารามที่เก่าแก่ อยากให้มาอ่านรีวิวโร้ดทริปนี้ให้จบ แล้วเชื่อเถอะ คามาคุระ (Kamakura) จะเป็นอีกเมืองที่อยู่ในแพลนเที่ยวญี่ปุ่นของทุกคนแน่นอน ไม่เชื่อลองเลื่อนอ่านโลดด
แพลนโร้ดทริปเที่ยวญี่ปุ่น
จังหวัดนากาโน่ (Nagano) – ชิซึโอะกะ (Shizuoka)
บอกกันก่อนว่า ทริปนี้เราเที่ยวกันแบบโร้ดทริป เช่ารถขับเที่ยวกันเอง โดยเราเริ่มต้นเช่ารถจากคารุอิซาวะ (Karuizawa) ขี้นไปนากาโน่ (Nagano) ขับไหลลงมายังเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) ชิซึโอะกะ (Shizuoka) และคาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsular) ที่มีไฮไลท์เด็ดอย่างการมาดูดอกซากุระสายพันธุ์คาวาสึ (Kawazu) ที่บานเร็วที่สุดในญี่ปุ่นกันตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีด้วย ใครอยากตามรอยเที่ยว สามารถตามแพลนเที่ยวโรดทริปด้านล่างได้เลย ก๊อตทำตารางมาให้แล้ว จะตามแพลนนี้ทั้งหมดก็ได้ หรือจะปรับเปลี่ยนตามความชอบก็ไม่ว่ากัน
วัน | แพลนเที่ยว | เมืองที่นอน |
1 | เมืองคารุอิซาวะ (Karuizawa) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองนากาโน่ (Nagano) |
2 | เมืองนากาโน่ (Nagano) อ่านรีวิวเต็ม คลิก เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) |
3 | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
4 | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
5 | เมืองชิซึโอะกะ (Shizuoka) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
6 | เมืองอิสุตะวันตก (West Izu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองชิโมดะ (Shimoda) |
7 | เมืองคาวาสึ (Kawazu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอิโตะ (Ito) |
8 | เมืองอิโตะ (Ito) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอาตามิ (Atami) |
9 | เมืองอาตามิ (Atami) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | – |
10 | เมืองคามาคุระ (Kamakura) – วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) | เมืองคามาคุระ (Kamakura) ที่พัก: Guesthouse SHIBAFU |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
วิธีมาเที่ยวคามาคุระ (Kamakura) ด้วยรถสาธารณะ
วิธีเดินทางมาเที่ยวที่ คามาคุระ (Kamakura) นั้นไม่ยากเลย เราสามารถเดินทางได้หลายวิธี โดยก๊อตขอยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวหรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นโซนนี้ มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ นั่นเอง สำหรับการเดินทางมาที่คามาคุระ (Kamakura) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีรถไฟที่เราสามารถขึ้นจากโตเกียวมาเที่ยวที่นี่ได้เลยแหละ
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> คามาคุระ (Kamakura)
1. รถไฟ (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวคามาคุระ (Kamakura) แล้ว เนื่องจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน เพราะคามาคุระ (Kamakura) มีรถไฟสายหลัก JR Yokosuka Line ซึ่งจะวิ่งตรงจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) โดยมีปลายทางที่สถานีคามาคุระ (Kamakura Station) ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 30 นาที โดยเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด สำหรับราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาส จะอยู่ที่ 950 เยน (~230 บาท) ส่วนใครที่มีพาส JR East หรือ Japan Rail Pass สามารถใช้ขึ้นได้เลย
2. เช่ารถขับ (⭐️⭐️แนะนำ): ใครที่เน้นสะดวกแล้วขับรถเที่ยวมาจากต่างเมืองที่ไม่ใช่โตเกียว ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธารณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับที่เราสามารถเช่ารถจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้แล้วแต่เราจะสะดวก โดยข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถขับเที่ยวไปไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลารถสาธารณะ และไม่ต้องเดินเยอะอีกด้วย แต่ทั้งนี้ การเช่ารถก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายของทริปเราที่จะสูงขึ้นมากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถต่อวันเอย (เฉลี่ย 2,000 บาท/วัน) ค่าน้ำมัน ค่าที่จอดรถ และค่าทางด่วนที่แพงม๊ากกก แต่ถ้าใครชอบเที่ยวแบบโร้ดทริปแต่จ่ายได้ บอกเลยว่าเช่ารถเที่ยวนั้นคือสนุกที่สุดแล้ววว
วิธีเดินทางเที่ยวคามาคุระ (Kamakura)
วิธีการเดินทางเที่ยวด้วยรถสาธารณะในเมืองคามาคุระ (Kamakura) นั้น วิธีที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟ โดยในเมืองเค้าจะมีรถไฟ สายเอโนะเด็น (Enoden Line) รถไฟสีเขียวๆ อันโด่งดังที่วิ่งเชื่อมกับ สถานีคามาคุระ (Kamakura Station) ไปตามแนวชายฝั่งทะเลไปยังเอโนชิมะ (Enoshima) จนสุดปลายเชื่อมที่สถานีฟูจิซาวะ (Fujisawa) ที่เชื่อมกับรถไฟ JR โดยรถไฟสายเอโนเด็นวิ่งผ่านเกือบทุกเที่ยวทั้งหมดในเมืองคามาคุระ (Kamakura) เลยล่ะ
พาสรถไฟสำหรับการเดินทางเที่ยวในคามาคุระ (Kamakura)
- Noriorikun (Enoden 1 Day Pass) (⭐️⭐️ แนะนำ): ตั๋วที่จะทำให้เราสามารถขึ้นรถไฟสายเอโนะเด็นได้แบบไม่จำกัดเที่ยวในระยะเวลา 1 วันนับจากออกบัตร โดยราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 650 เยน (~155 บาท) และเด็ก 330 เยน (~80 บาท) สามารถหาซื้อพาสได้ทุกสถานีรถไฟของสายเอโนะเด็น (Enoden Line) ได้เลย
- Hakone Kamakura Pass: สำหรับคนที่มีแพลนเที่ยวทั้งคามาคุระ (Kamakura) และฮาโกเน่ (Hakone) สามารถซื้อพาสนี้เพื่อใช้ขึ้นรถไฟเที่ยวทั้งสองแห่งได้เลย / พาสจะครอบคลุมทั้งรถไฟสายโอดะคิว (Odakyu Line) สำหรับใช้เดินทางไปฮาโกเน่ (แต่ถ้าต้องการขึ้นรถไฟด่วนพิเศษ Romancecar จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม) + สายสายเอโนะเด็น (Enoden Line) สำหรับเที่ยวในคามาคุระ (Kamakura) + รถโดยสาร 8 ประเภทในฮาโกเน่ รวมถึงเรือและเคเบิลคาร์ด้วย / พาสจะเป็นแบบ 3 วัน ราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 7,520 เยน (~1,835 บาท) และเด็ก 1,480 เยน (~360 บาท) [ซื้อพาสผ่าน Klook] [ซื้อพาสผ่าน KKday]
วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple)
วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) คือที่เที่ยวแรกที่ก๊อตมากันใน คามาคุระ (Kamakura) ซึ่งก่อนจะเดินไปถึงตัววัดนั้น เราจะต้องเดินผ่านถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งที่ขายอาหาร เครื่องดื่ม และของที่ระลึกอยู่จนสุดทางของถนนกันก่อน ดังนั้นใครที่อยากแวะหาเครื่องดื่ม หรือของกินรองท้องกันก่อนเข้าไปยังวัดก็สามารถเลือกร้านที่ชอบแล้วแวะก่อนได้นา
และหากใครที่กินอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ให้เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ เราก็จะมาถึงวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) วัดดังของเมืองที่บอกเลยว่าถ้าไม่ได้มานั้นมันเหมือนเรามาไม่ถึงเมืองคามาคุระ (Kamakura) จริงๆ เพราะที่นี่คือวัดพุทธอันโด่งดังและยังเป็นสถานที่ประดิษฐานของ “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) พระพุทธรูปสูงถึง 13.35 เมตร และหนักมากถึง 121 ตัน ถือเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่น เป็นรองเพียงแค่พระพุทธรูปในวัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา (Nara) โดยปัจจุบัน “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติโดยรัฐบาลญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้วัดแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวและคนไทยเค้านิยมมาเที่ยวกันมหาศาลเลย
สำหรับองค์ “พระใหญ่แห่งคามาคุระ” หรือ “พระใหญ่ไดบุตซึ” (Kamakura Daibutsu) ที่เราเห็นกันอยู่นี้ มีน้ำหนักประมาณ 93 ตัน โดยมีประวัติเล่าไว้ว่า พระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) นั้น สร้างขึ้นจากเม็ดเงินที่เค้าระดมทุนจากผู้คน โดยในช่วงแรกได้สร้างองค์พระด้วยไม้เป็นวัสดุหลัก ก่อนที่จะถูกพายุทำลายในเวลาต่อมา จนกระทั่งปี ค.ศ.1252 ได้มีการสร้างองค์พระขึ้นมาใหม่ด้วยสำริดทั้งองค์ แล้วนำไปประดิษฐานเอาไว้ในห้องโถงขนาดใหญ่ แต่ก็เกิดพายุใหญ่เข้าซัดทำลายห้องโถงในช่วงปี ค.ศ.1369 ซึ่งขณะนั้นห้องโถงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก จนในที่สุดปีค.ศ. 1495 ห้องโถงแห่งนี้ก็ได้ถูกพายุทำลายซ้ำอีกครั้งจนมันพังหายไปหมดไม่หลงเหลือห้องโถงที่ปกคลุมพระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) เอาไว้
รูปปั้นของ พระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) ก็เลยถูกปล่อยให้อยู่กลางแจ้งนับตั้งแต่นั้นมา ก่อนจะถูกบูรณะปรับปรุงใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 หลังจากที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่จบไม่สิ้นเมื่อญี่ปุ่นได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกครั้งในปีค.ศ. 1923 ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ พระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) ไม่น้อย ซึ่งเค้าก็ได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านมาจนถึงปีค.ศ.1960 จึงได้มีการบูรณะปรับปรุงอีกครั้งเพื่อให้ฐานของ พระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) แข็งแรงมากขึ้น จนกลายเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญที่อยู่คู่กับเมืองคามาคุระ (Kamakura) มาจนถึงทุกวันนี้
บรรยากาศภายในวัดมีกลิ่นอายความเก่าแก่ให้เราได้สัมผัส นี่สัมผัสได้ถึงความขลังและเก่าแก่ของพระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) ที่ตั้งสง่าอยู่ใจกลางวัด ซึ่งใครที่อยากมาสักการบูชาเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตก๊อตแนะนำว่าให้มาช่วงเช้าๆ หน่อย ด้วยความที่วัดเค้าดังม๊ากก แบบเลื่องลือกันไปทั่วทั้งในประต่างประเทศ ทำให้มีทัวร์มาเที่ยวที่นี่กันเยอะ โดยวันที่ก๊อตไปเราก็ไปเจอทัวร์นักท่องเที่ยวไทยลงเต็มวัดแบบของจริง เสียงภาษาไทยดังแซ่ซ้องนึกว่าอยู่เมืองไทยกันเลยทีเดียว 5555555
ส่วนตัวก๊อตเลยแนะนำอยากให้ทุกคนมาที่นี่เป็นที่แรกตอนเช้าๆ นา และถ้าหากไหว้พระขอพรเติมแต้มบุญกันเสร็จแล้ว ก็สามารถเดินเล่นรอบๆ ซื้อของฝากของที่ระลึก หรือพวกเครื่องรางกลับบ้านได้ โดยด้านข้างพระพุทธรูปพระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) จะมีร้านขายให้เราได้ซื้อหากันกลับบ้านด้วย
KANNON COFFEE kamakura
คาเฟ่ดังของคามาคุระ (Kamakura) ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดสำหรับก๊อตเลยก็คือ KANNON COFFEE kamakura คาเฟ่ที่เค้าเอาหน้าพระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) มารังสรรค์เป็นเมนูขนมและคุ้กกี้จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของร้านและขายดิบขายดีจนนักท่องเที่ยวหลายคนต้องมาลิ้มลองกัน
KANNON COFFEE kamakura ที่เมืองคามาคุระ (Kamakura) ที่เรามากินกันนี้ เค้าเปิดเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา โดยเป็นคาเฟ่สาขาสองจากเมืองนากาโน่ (Nagano) ซึ่งบรรยากาศของคาเฟ่ที่นี่ตกแต่งในฟีลโฮมมี่อบอุ่นด้วยการรีโนเวทร้านชุดกิโมโนเก่า ให้ออกมาเป็นคาเฟ่โทนไม้ที่มีกระจกใสหน้าร้านทำให้เรามองเข้าไปเห็นภายในได้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้าไป โดยคาเฟ่ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของกาแฟที่มีทั้งกาแฟดริป กาแฟเบลนด์ตามฤดูกาล ไปจนถึงกาแฟสูตรพิเศษ แต่สิ่งที่ฮิตติดลมบนและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาที่นี่ได้ตลอดเวลานั้น ต้องยกให้เจ้าบิสกิตพระใหญ่ไซซ์จิ๋วที่มีขายกันทั้งแบบแยกเดี่ยวๆ และถูกนำเอาไปใส่ในเมนูเครปและพาร์เฟ่ต์ของเค้าเลย คือใครมาที่นี่ก็ต้องมาสั่งกันทั้งนั้น
ซึ่งก๊อตเองก็ได้ลองสั่งทั้งบิสกิตพระใหญ่เปล่าๆ เครปที่ใส่บิสกิตพระใหญ่มาด้วย รวมถึงเมนูอื่นๆ มาด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าขนมเค้ารสชาติอร่อยและดีมากเลยแหละ แถมหน้าตายังน่ารักเหมาะกับการเอามาถ่ายรูปทำคอนเทนต์ด้วย ซึ่งนอกจากเมนูที่มีบิสกิตพระใหญ่แล้วที่ KANNON COFFEE kamakura ยังมีเมนูขนมและเครื่องดื่มอื่นๆ นอกจากกาแฟขายอยู่ด้วยนา ใครที่ไหว้พระใหญ่ไดบุตซึ (Kamakura Daibutsu) เสร็จแล้วลองเดินมาลิ้มรสกันได้ ถือเป็นอีกคาเฟ่ที่ก๊อตแนะนำว่าต้องมาเลยแหละ
วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple)
วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple) เป็นอีกหนึ่งวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองคามาคุระ (Kamakura) ที่อยากให้ทุกคนได้มากัน เพราะที่นี่มีรูปปั้นไม้ปิดทองของเจ้าแม่กวนอิม 11 เศียร สูงกว่า 9.18 เมตร ที่ตั้งอยู่ในอาคารหลักของวัด โดยรูปปั้นนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประติมากรรมไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
สำหรับความเป็นมาของ วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple) ที่นี่เป็นวัดพุทธนิกายโจโด (Jodo) ที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง โดยตำนานเล่าเอาไว้ว่าในปี ค.ศ. 721 พระภิกษุโทคุโดะ โชนิน ได้ขอให้สร้างรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม 2 รูป โดยใช้ต้นการบูรมาแกะสลักออกมาเป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม 2 รูป โดยขนาดเล็ก 1 รูปนั้นถูกประดิษฐานอยู่ที่วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple) ในเมืองนารา แต่ในขณะเดียวกัน รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอีกรูปนั้นถูกโยนลงทะเลเพื่อเป็นเครื่องบูชา ก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไป กระทั่งในปี ค.ศ. 736 รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ลอยมาถึงเมืองคามาคุระ (Kamakura) จึงได้มีการสร้างวัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple) ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมรูปนี้
จากทางเข้าวัดที่เราเดินผ่านเข้ามาเพื่อไปยังอาคารหลัก เราจะเห็นสองข้างทางจะเรียงรายไปด้วยรูปปั้นพระองค์เล็กๆ อยู่เต็มไปหมด ให้ฟีลความขลังปนน่ารักอยู่หน่อยๆ บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นด้วยธรรมชาติอันเขียวชอุ่มและดอกไม้ตามฤดูกาลที่ถูกปลูกเอาไว้ ซึ่งจากตำแหน่งที่ตั้งของวัดที่อยู่สูงบนเนินเขานั้น เมื่อเราเดินขึ้นมาถึงด้านบนสุด จะสามารถมองย้อนกลับออกไปเห็นวิวเมืองคามาคุระ (Kamakura) และอ่าวซากามิ (Sagami Bay) ได้แบบชิลๆ เราเลยจะเห็นว่ามีคนแก่และนักท่องเที่ยวมานั่งกินลมชมวิวตรงจุดนั่งพักกันเยอะเลย ใครที่ขาเริ่มเมื่อย จะมานั่งพักดื่มน้ำและกินลมชมวิวตรงนี้ซักหน่อยก็ได้เด้อ
หากเราเดินมาถึงอาคารหลักข้างในจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “ห้องโถงคันนอนโดะ” (Kannon-do Hall) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ก๊อตไปนั้นมีผู้คนกำลังสักการบูชากันอยู่อย่างต่อเนื่อง และเมื่อเดินออกมาจากห้องโถงหลักด้านข้างจะเป็นส่วนของ “พิพิธภัณฑ์คันนง” (Kannon Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่เราต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มเติม ภายในจัดแสดงสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูป ระฆังวัด และม้วนภาพเอาไว้มากมาย และอีกจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจากโถงหลักจะเป็น “ห้องโถงอมิดะโดะ” (Amida-do Hall) ห้องโถงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำสูงเกือบ 3 เมตรเอาไว้อีกด้วย
เอาล่ะ ใครที่เดินไหว้กันจนครบแล้ว สุดท้ายก่อนกลับอย่าลืมเดินมากันที่ Benten Cave กันดูนา มันจะเป็นเส้นทางลอดถ้ำสั้นๆ ให้เราได้เข้าไปเดินสำรวจ โดยภายในจะมีรูปปั้นแกะสลักของพุทธศาสนิกชนในลัทธิเทวนิยม ซึ่งมีทั้งที่แกะสลักบนผนังของถ้ำ และเป็นรูปปั้นของพระองค์อื่นๆ มาตั้งให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ซึ่งชื่อ Benten Cave นั้น ว่ากันว่าตั้งล้อมาตามชื่อของห้องโถงขนาดเล็กอีกห้องที่อยู่ในพื้นที่สวนของวัด ซึ่งสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเบ็นเท็น (Benten) หรือที่รู้จักกันในชื่อเบ็นไซเท็น (Benzaiten) เทพีแห่งความงามและความมั่งคั่งของสตรีนั่นเอง
ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)
ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu) หนึ่งในศาลเจ้าสำคัญของเมืองคามาคุระ (Kamakura) ที่มีอายุมากว่า 800 ปี ใครอยากสัมผัสกับศาลเจ้าเก่าแก่ต้องมาที่นี่ สำหรับศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งโดยมินาโมโตะ โยริโยชิ (Minamoto Yoriyoshi) เมื่อปี ค.ศ. 1063 ก่อนจะขยับขยายแล้วย้ายมาตั้งอยู่ในพื้นที่ตั้งปัจจุบันในปี ค.ศ. 1180 โดยมินาโมโตะ โยริโทโมะ (Minamoto Yoritomo) ผู้ก่อตั้งและต้นตระกูลโชกุนแห่งคามากูระ ซึ่งในขณะนั้นได้มีการอัญเชิญฮาจิมัน เทพแห่งสงครามมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าเพื่อให้เป็นเทพคุ้มครองตระกูลอีกด้วย
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
แน่นอนว่า ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu) นั้นอุทิศให้กับฮาจิมัน เทพแห่งสงครามที่ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยอุปถัมป์ปกป้องดูแลตระกูลของมินาโมโตะ และซามูไรโดยทั่วไป โดยคนที่เค้ามาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็จะมาเพื่อขอพรในเรื่องทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ค้าขาย การเรียน ต่างก็มาขอที่นี่ได้หมดเลย
โดยเส้นทางเข้าไปยังตัวศาลเจ้าจะต้องเดินผ่านเสาประตูโทริอิขนาดใหญ่ และข้ามสะพานผ่านสระน้ำเข้าไปยังด้านในท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ล้อมรอบ ซึ่งก๊อตกับเพื่อนก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างทางมีแวะพักถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอกันระหว่างทางพอกรุบกริบ ซึ่งอาคารหลักของศาลเจ้าก็ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินที่เราต้องต้องปีนบันได 61 ขึ้นไป โดยด้านในถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงสมบัติต่างๆ ที่เป็นของศาลเจ้าทั้ง ดาบ หน้ากาก และเอกสารต่างๆ เอาไว้ รวมถึงเป็นจุดที่คนเค้าเข้าไปสักการบูชากัน
แต่นี่ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้เดินเข้าไปด้านในนะ ด้วยความที่คนเยอะแล้วบวกกับเริ่มเมื่อย เลยทำความเคารพอยู่ด้านนอกอาคารหลักแทน หลังจากนั้นก๊อตก็เดินกลับมามาที่จอดรถ เอาเป็นว่าใครที่ตั้งใจอยากจะมาเติมแต้มบุญ หากได้มาเที่ยวเมืองคามาคุระ (Kamakura) ก็อย่าลืมปักหมุดมาที่นี่แล้วขึ้นไปไหว้ด้านในกันได้เน้อ
ถนนโคมาจิโดริ (Komachi Dori Street)
ไม่ไกลจากศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu) จะมีถนนช้อปปิ้งชื่อดังประจำเมืองให้เราได้มาเดินเล่นหาของกินกันอยู่ด้วย นั่นคือ ถนนโคมาจิโดริ (Komachi Dori Street) ถนนเส้นเล็กๆ ที่ตลอดเส้นทางนั้นต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายกันทั้งของกิน ของที่ระลึก และของจิปาถะมากกว่า 250 ร้านให้เราได้มาละลายทรัพย์กัน แต่บอกก่อนเลยว่า ถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่ขายของฟีลท้องถิ่น ไม่ได้มีร้านแบรนด์ดังๆ นา ดังนั้นใครที่อยากมาเดินหาของกินรสชาติแบบออริจิ หรือซื้อของฝากสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ต้องมาเลย
สำหรับของส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่บน ถนนโคมาจิโดริ (Komachi Dori Street) ก็จะมีตั้งแต่ชุดกิโมโน มีดญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หรือพวกชุดจานชามเซรามิกและตะเกียบ ขายกันอยู่เพียบ นอกจากนี้ก็จะมีร้านอาหารและขนมเปิดอยู่ด้วย ซึ่งใครหิวๆ ก็สามารถมาหาอะไรรองท้องกินที่นี่ก่อนได้ โดยเป้าหมายของก๊อตที่เรามาตามหาเลยก็คือ ร้าน Tomoya Kamakurakomachi ที่เค้ามีขนมเค้กรูปหน้าพระใหญ่ขายกันอยู่
ร้าน Tomoya Kamakurakomachi หาไม่ยากเลย หรือจะลองปักหมุดจากกูเกิ้ลแมพเอาก็ได้ ทั้งนี้ให้ทุกคนสังเกตป้ายร้านสีน้ำเงิน ที่จะมีหน้าตาของขนม Budda Cake หรือขนมหน้าพระใหญ่แปะเอาไว้อยู่ เจอแล้วก็พุ่งตัวไปจัดได้เลย ซึ่งขนมของเค้ามีหลากหลายไส้ให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นไส้มันม่วง,ถั่วแดง,คัสตาร์ด หรือจะเป็นเบคอน & ชีส ก็เลือกกันได้ตามชอบ ส่วนราคาของแต่ละรสชาติจะไม่เท่ากันนา ราคาเริ่มต้น 220 เยน (~53 บาท) ถึง 270 เยน (~65 บาท) ซึ่งนี่ลองเป็นรสมันม่วง รสชาติถือว่ากลางๆ แบบได้อยู่ ไม่ได้ว้าวมาก แต่ด้วยความที่เค้าทำขนมเป็นหน้าพระใหญ่ ทำให้คนต่อแถวเข้าคิวยาวม๊ากกก ฟีลเหมือนร้านที่ใครมาเดินถนนโคมาจิโดริ (Komachi Dori Street) ต้องมาซื้อกินและถ่ายรูปกันนั่นเอง 555555
นอกจากขนมหน้าพระแล้ว ที่นี่เค้ายังขายพวกไอศกรีมและขนมอื่นๆ อีกเยอะมาก คือร้านค้า ร้านขนม ร้านของกินตั้งเรียงเป็นตับ อย่างก๊อตเองก็มีแวะซื้อมันหวานญี่ปุ่นย่างราดน้ำผึ้งท็อปด้วยเนยมาลองกินด้วย อันนี้อร่อยมาก แบบแสงออกปาก หอมหวานที่สุด ยังไม่หมดเท่านั้นเราก็มีซื้อปลาหมึกย่างมาเดินกินไปพลางๆ คือของกินเยอะมาก ละลานตาสุดๆ ใครมา ถนนโคมาจิโดริ (Komachi Dori Street) แล้วก็มาเดินซื้อของกินให้อิ่มหนำสำราญไปเลยจ๊า
สถานีคามาคุระโคโคมาเอะ (Kamakurakōkō-Mae Station)
แฟนๆ อนิเมะบาสเกตบอลชื่อดังอย่าง “สแลมดั้ง” (Slam Dunk) ต้องคุ้นตากับฉากที่ ซากุรางิ ฮานามิจิ ตัวเอกของเรื่องกำลังยืนรอรถไฟสายเอโนะเด็นสีเขียวสุดปุ๊กปิ๊กบริเวณริมทะเล โดยมีฉากหลังเป็นทะเลและท้องฟ้าอันสดใสผ่านตากันมาแล้วบ้าง ซึ่งฉากในการ์ตูนที่เราเห็นกันนั้นเค้าสร้างมาจากบรรยากาศจริงที่ สถานีคามาคุระโคโคมาเอะ (Kamakurakōkō-Mae Station) ตรงนี้เลย
โดย สถานีคามาคุระโคโคมาเอะ (Kamakurakōkō-Mae Station) ตั้งอยู่ในย่านโคชิโกเอะ (Koshigoe) แม้จะเป้นเพียงสถานีเล็กๆ แต่เค้าก็ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ริมทะเลที่งดงามไม่เหมือนใคร เนื่องจากเราสามารถมองเห็นวิวของมหาสมุทรแปซิฟิกและภูเขาไฟฟูจิได้จากชานชาลาของสถานีเลย และแน่นอนว่า ความป๊อบของเค้ามันไม่ได้มีดีแค่จากวิวสวยเท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นฉากเปิดใน “สแลมดั้ง” (Slam Dunk) ที่พระเอกของเรื่องอย่าง ซากุรางิ ฮานามิจิ มาเจอกับนางเอกที่นี่ โดยแฟนๆ อนิเมะเรื่องนี้เค้าขนานนามให้ สถานีคามาคุระโคโคมาเอะ (Kamakurakōkō-Mae Station) ว่าเป็น “ทางแยกแห่งโชคชะตา” เลยทีเดียว นอกจากนี้ที่สถานีแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นฉากจบของเรื่องอีกด้วย ทำให้ที่นี่โด่งดังและมีแฟนๆ มังงะมาตามรอยกันเพียบ
ส่วนตัวก๊อตเองนั้นไม่ได้เดินลงไปเพียงแต่ขับรถวนๆ เพื่อดูและเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกันแทน ผ่านตรงสถานีนี้เนื่องจากรถติดและหาที่จอดรถยากม๊าก ใครจะมาตามรอยเค้า ก๊อตแนะนำให้นั่งรถไฟเที่ยวแล้วมาลงตรงสถานีนี้จะดีกว่า ซึ่งเจ้ารถไฟเขียวๆ น่ารักๆ นั่น คือรถไฟสายเอโนะเด็น (Enoden Line) นั่นเอง
ชายหาดชิชิริกาฮามะ (Shichirigahama Beach)
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราขับรถวนๆ เพื่อไปตามรอย “สแลมดั้ง” (Slam Dunk) กันมา นี่เลยมาเจอ ชายหาดชิชิริกาฮามะ (Shichirigahama Beach) กันแบบบังเอิญ ซึ่งตอนนั้นมันใกล้ค่ำแล้ว พระอาทิตย์เตรียมโบกมือลาพร้อมกับเห็นเงาของภูเขาไฟฟูจิไกลลิบๆ แบบโคตรสวย นี่เห็นว่าชายหาดตรงนี้มีที่จอดรถขนาดใหญ่ แถมยังติดหาดที่ไวบ์พระอาทิตย์ตกโคตรดี เราเลยแวะจอดและเก็บภาพ ดื่มด่ำกับแสงสุดท้ายของวันในการเที่ยวคามาคุระ (Kamakura) กันซะเลย
สำหรับ ชายหาดชิชิริกาฮามะ (Shichirigahama Beach) ตั้งอยู่บนชายฝั่งโชนันทางตอนใต้ (Southern Shonan Coastline) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายของนักเล่นเซิร์ฟ เราเลยจะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยว และคนญี่ปุ่นเค้ากำลังเล่นเซิร์ฟกันอยู่ ซึ่งก๊อตก็มีเดินลงไปเล่นที่ชายหาด โดยช่วงเวลาพลบค่ำแบบนี้ ทั้งชายหาดเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินเล่น ถ่ายรูปอยู่เต็มไปหมด บ้างก็มาเป็นคู่เดินจูงมือกันท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกของท้องทะเลและแสงสีทองของดวงอาทิตย์ เหมาะกับคนที่มาเที่ยวกับแฟนสุดๆ
ส่วนตัวก๊อตบอกเลยว่าการมาปิดทริปของวันกันที่ ชายหาดชิชิริกาฮามะ (Shichirigahama Beach) มันช่วยให้การเที่ยวของเราวันนี้คอมพลีทมาก โดยเฉพาะวันนี้ที่ฟ้าใสกิ๊ง ให้เราได้ปล่อยใจไปกับสายลมและเสียงคลื่น ท่ามกลางเงาจางๆ ของภูเขาไฟฟูจิ และแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบลงสู่ผืนน้ำสะท้อนเป็นเงาคลื่นสีน้ำตาลทองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตานั้น ช่างเป็นภาพที่สวยเหมือนกำลังนั่งดูจิตรกรมาเนรมิตงานศิลปะอยู่ตรงหน้า มู้ดสบายๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ สักกระป๋อง จิบชิลๆ ไปกับแสงสุดท้ายของวันที่ลาลับขอบฟ้าไป มันเป็นอะไรที่ประทับใจก๊อตมาก คือนี่ยกให้เป็นหนึ่งในจุดดูวิวพระอาทิตย์ตกที่เลอค่าและสวยมากๆ ของเมืองเลย อยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตาของจริง ภาพตรงนี้ยังติดตาก๊อตอยู่เลยล่ะ
ที่พักในคามาคุระ (Kamakura)
Guesthouse SHIBAFU
การเที่ยวคามาคุระ (Kamakura) ของก๊อตนั้น ถึงแม้จะเป็นการเที่ยวแบบวันเดียว แต่ก๊อตตัดสินใจมากนอนที่นี่คืนนึงก่อนเที่ยวคามาคุระแบบเต็มวัน สำหรับที่พักที่ก๊อตเลือกนั้น คือ Guesthouse SHIBAFU ที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) เพียง 350 เมตรเท่านั้น ที่พักเป็นฟีลบาร์ + เกสเฮาส์ที่เค้าเอามาทำเป็นที่พักด้านบน โดยด้านล่างเปลี่ยนให้เป็นบาร์ขนาดย่อมๆ ที่เปิดถึง 22:00 น. ให้ทั้งแขกและคนทั่วไปได้เข้ามานั่งชิล ซึ่งบอกก่อนว่าใครจะมาพักที่นี่อย่าได้ขับรถเข้ามาในที่พักกันเชียว เพราะนี่ขับเข้ามาแล้ว สรุปรถเอาเข้ามาไม่ได้เพราะทางเข้ามันแคบเกินไป ได้ถอยรถกลับกันวุ่นเลย ซึ่งเราต้องไปหาที่จอดรถแบบเสียเงินกันเองข้างนอกแหละ 5555
ก๊อตจองกันมาเป็นแบบห้องพัก 3 คน ตั้งอยู่บนชั้นสอง โดยมีเตียงเสริมมาเป็นฟูกเพิ่มเติมเข้ามาแทน โดยก๊อตจองได้ตกคืนละ 4,600 บาท โดยรวมห้องไม่ได้เล็กมาก สะอาดเรียบร้อยเหมือนเราพักอยู่ในบ้านญาติ แต่เป็นญาติที่ญี่ปุ่นอะ 55555 อารมณ์นั้นเลย สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน แต่อาจจะต้องระวังเรื่องเสียงดังกันหน่อย คือถ้าใครคิดว่าจะเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ตัดที่พักนี้ไปได้เลย เพราะบาร์ด้านล่างเสียงดังนั่นเองจ๊า
ในส่วนของอาหาร ที่นี่ไม่มีอาหารเช้าให้นา แต่นี่ว่าไม่ใช่ปัญหา ด้วยความที่ Guesthouse SHIBAFU เค้าอยู่บนทำเลใกล้วัดพระใหญ่ ทำให้เราสามารถเดินไปหาซื้อของกินระหว่างทางที่ไปเที่ยววัดพระใหญ่ได้เลย ก๊อตว่าข้อดีของการพักที่นี่มันเลยจะเป็นความสะดวกสบายในเรื่องของการเดินทาง เผื่อใครไม่ได้เช่ารถขับแบบก๊อตก็สามารถเดินเล่นได้ชิลๆ ซึ่งก่อนเช็คอินออกจากที่พักเราก็ยังมีเวลาเหลือให้ไปเดินตามเก็บที่เที่ยวได้อีกด้วย หรือจะแวะคาเฟ่ยามเช้าเติมความกระปรี้กระเปร่ากันหน่อย นี่ก็แนะนำให้เดินไปทางวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) เลย ซึ่งก่อนถึงวัดจะมีถนนที่เต้มไปด้วยร้านค้ามากมาย อย่างก๊อตเองก็มีแวะร้านยูนิ คอฟฟี่ โรสเตอร์รี่ (Uni Coffee Roastery) เพื่อหากาแฟดื่มกันก่อนกลับอีกด้วย
สรุปการเที่ยวเมืองคามาคุระ (Kamakura)
และทั้งหมดนี้ก็คือแพลนเที่ยวทั้งหมดของก๊อตในเมืองคามาคุระ (Kamakura) ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อยากมาสัมผัสกับความเก่าแก่ของดินแดนที่เต็มไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ยิ่งใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากเที่ยวแบบสายบุญหน่อย บอกเลยว่าคามาคุระ (Kamakura) ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ก๊อตแนะนำว่ามาแล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡