ประเดิมทริปอเมริกาครั้งแรกในชีวิตของก๊อตกันด้วยเมือง ชิคาโก้ (Chicago) กันก่อนเลย นี่คือเมืองที่ก๊อตได้ปักหมุดไว้ว่า ‘ชีวิตนี้ต้องไปชิคาโกให้ได้’ และแล้วก็ได้มาจริงๆ สักทีโว้ยย เหตุผลที่ก๊อตอยากมาที่นี่เพราะว่าชิคาโก้ (Chicago) ถือเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอเมริกาที่โตเคียงคู่กันมากับ นิวยอร์ก (New York City) เจริญรุดหน้าด้วยสถาปัตยกรรมของตึกสูง พร้อมทั้งพื้นที่สาธารณะสีเขียวที่มีอยู่ทั่วทั้งเมือง แถมยังแต่งแต้มสีสันของเมืองด้วยงานศิลปะอยู่เยอะมากเลยด้วย ตอนแรกที่ยังไม่ได้มาที่นี่ ก๊อตแค่อ่านรีวิวก็คือชอบมากแล้ว แต่พอได้มาก็คือหลงรักและประทับใจตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลย
สำหรับการเที่ยวเมือง ชิคาโก้ (Chicago) นี้ก๊อตใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน กับ 24 ที่เที่ยวรอบเมือง ที่ไหนเป็นไฮไลท์ มีอะไรเด่นอะไรดังเราไม่เคยพลาด! ตามไปอ่านรีวิวแบบอัดแน่นจัดเต็มไปพร้อมๆ กันได้เล้ยย
ทริปอเมริกาครั้งแรก #อเมริกาคนเดียว
ในที่สุดก๊อตก็ได้มาเที่ยวอเมริกากับเค้าสักที นี่คือการเที่ยวอเมริกาครั้งแรกของก๊อต และยังเป็นการเที่ยวคนเดียวอีกด้วย ตื่นเต้นสุดๆ ทริปนี้ก๊อตไปเที่ยวมาทั้งหมด 48 วัน เริ่มตั้งแต่ Chicago - San Francisco - Paciffic Coast Highway Road Trip (Monterey, Carmel-By-The-Sea, Big Sur, Morro Bay, Santa Barbara) - Los Angeles - San Diego - Joshua Tree National Park - Death Valley National Park - Yosemite National Park - Washington D.C. - New York City เป็นการเที่ยวแบบจัดเต็มมาก ก๊อตแบ่งรีวิวไว้ทั้งหมด 15 EP ด้วยกัน ใครที่กำลังแพลนว่าจะไปเที่ยวอเมริกาก็สามารถเที่ยวตามก๊อตได้เลยเด้อ
EP.0 - USA Travel 101 กำลังเขียน
EP.0 (2) – 8 เหตุผล ทำไมต้องไปเที่ยวอเมริกาซักครั้งในชีวิต
EP.1 - Chicago
EP.2 - San Francisco กำลังเขียน
EP.3 - Pacific Coast Highway : Monterey + Carmel-By-The-Sea กำลังเขียน
EP.4 - Pacific Coast Highway : Big Sur กำลังเขียน
EP.5 - Pacific Coast Highway : Morro Bay + Santa Barbara กำลังเขียน
EP.6 - Los Angeles
EP.7 - Universal Studios Hollywood
EP.8 - Disneyland Park
EP.9 - Disney California Adventure Park
EP.10 - San Diego กำลังเขียน
EP.11 - Joshua Tree National Park
EP.12 - Death Valley National Park กำลังเขียน
EP.13 - Yosemite National Park กำลังเขียน
EP.14 - Washington D.C. กำลังเขียน
EP.15 - New York City
แพลนเที่ยวชิคาโก (Chicago)
ที่พักแนะนำในชิคาโก้ (Chicago)
คนที่กำลังหาที่พักใน ชิคาโก้ (Chicago) อยู่ล่ะก็ ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักโดยขอแบ่งแยกออกเป็น 3 ย่าน โดยย่านที่สะดวกที่สุดในการเดินทาง คือ ย่านเดอะลูป (The Loop) และ ย่านแม็กนิฟิเซนท์ ไมล์ (Magnificent Mile) ซึ่งแต่ละย่านเค้าก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย เลือกย่านได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว
🏨 ดูที่พักแนะนำในชิคาโก้ (Chicago) จาก Tripadvisor / Agoda / Expedia / Booking.com
#1 ย่านเดอะลูป (The Loop)
ย่านที่แนะนำที่สุดสำหรับการเลือกจองโรงแรมและที่พักก็คือ ย่านเดอะลูป (The Loop) ที่ถือเป็นย่านดาวน์ทาวน์ใจกลางเมืองชิคาโก้ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟที่เกือบทุกสายจะเข้ามายังใจกลางเมืองตรงนี้ แถมที่เที่ยวป๊อปๆ ส่วนใหญ่ก็คืออยู่ในย่านนี้เกือบหมดในระยะที่เราสามารถเดินไปได้ ดังนั้น เดอะลูป (The Loop) คือตัวเลือกอันดับหนึ่งที่แนะนำเลยแหละ
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): Kimpton Gray Hotel / JW Marriott Chicago
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมได้ (6,000-10,000 บาท/คืน): Pendry Chicago / LondonHouse Chicago, Curio Collection by Hilton / Kimpton Hotel Monaco Chicago
– โรงแรมและโฮสเทลราคาไม่แรง ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 6,000 บาท/คืน): Hampton Inn Majestic Chicago Theatre District / Staypineapple, An Iconic Hotel, The Loop Chicago / HI Chicago Hostel
#2 ย่านแม็กนิฟิเซนท์ ไมล์ (Magnificent Mile)
อีกย่านที่แนะนำให้เราเลือกคือย่านย่านแม็กนิฟิเซนท์ ไมล์ (Magnificent Mile) ที่อยู่ทางตอนเหนือติดกันกับ ย่านเดอะลูป (The Loop) เหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราเพราะอยู่ติดกับแม่น้ำชิคาโก้ และเหมาะกับสายช้อปปิ้งมากที่สุดเนื่องจากถนนแม็กนิฟิเซนท์ ไมล์ (Magnificent Mile) เองยังเต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนม และร้านอาหารดีๆ เยอะม๊าก ถือเป็นอีกย่านที่น่ามาพัก ค่อนข้างปลอดภัย เดินทางสะดวก และที่เที่ยวอยู่ในย่านนี้ก็เยอะเช่นกัน
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): The Langham Chicago / Trump Int’l Hotel & Tower Chicago / The Peninsula Chicago
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมได้ (6,000-10,000 บาท/คืน): Courtyard by Marriott Chicago Downtown/Magnificent Mile / Omni Chicago Hotel
– โรงแรมและโฮสเทลราคาไม่แรง ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 6,000 บาท/คืน): ACME Hotel Company / Fairfield Inn & Suites by Marriott Chicago Downtown/River North
รู้จัก ชิคาโก (Chicago) กันก่อน!
ก่อนที่จะไปเที่ยว เรามาพูดถึง ชิคาโก (Chicago) กันก่อนดีกว่า ที่นี่คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) ตั้งอยู่ทางตอนกลางของอเมริกานี่แหละ ด้วยความที่ชิคาโก้เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอเมริกา ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ความเจริญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางวัฒนธรรม ศิลปะ เศรษฐกิจ และการคมนาคม จนถือได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญแห่งหนึ่งของโลกเชียวนะ ตอนที่ก๊อตไปก็สังเกตได้ว่าเมืองนี้เค้าค่อนข้างเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน มีสถาปัตยกรรมตึกสูงสวยๆ และยังมีงานศิลปะสาธารณะที่เติมสีสันให้ชิคาโกไม่เหมือนใคร ถือว่าเป็นเมืองที่ดีย์มากจริง
ชิคาโก (Chicago) เป็นเมืองที่มีชื่อเล่นและฉายามากมาย เช่น Chi-Town ,City of Broad Shoulders และชื่อยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักนั่นก็คือ Windy City หรือเมืองแห่งสายลมนั่นเอง
เวลาพูดถึงเมืองใหญ่ๆ ในอเมริกาคนส่วนมากจะรู้สึกว่ามันเป็นมีความเมืองมากๆ คงมีแต่ตึกสูงๆ เต็มไปหมด ก๊อตบอกเลยว่า จริง! แต่จริงแค่ครึ่งเดียว ฮ่าๆ เพราะว่าถึงแม้ว่าเมืองใหญ่ๆ ของที่นี่จะมีตึกอยู่เยอะแต่เค้าก็ยังมีพื้นที่สีเขียวเยอะมากเหมือนกัน โดยเฉพาะที่ ชิคาโก้ (Chicago) เนี่ย มีพื้นที่สีเขียวไว้ให้คนมานั่งพักผ่อนกันเยอะมาก และยังมี Public Arts (ศิลปะสาธารณะ) กระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองเลยด้วย ก๊อตคิดว่าคนที่นี่ค่อนข้างให้คุณค่ากับงานศิลปะ เค้าเลยมีงานศิลปะมากมายกระจายอยู่รอบเมืองเลย ส่วนเรื่องตึกรามบ้านช่องของเมืองนี้เค้าขึ้นชื่อมากเลยล่ะ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีอยู่ในแพลนท่องเที่ยวของสถาปนิกหลายๆ คนทั่วโลก เพราะที่นี่เป็นเมืองที่มีตึกสวยมากที่นึงในโลกเลย ถ้าใครได้มาเมืองนี้จะเห็นว่าตึกของเมืองนี้มีสไตล์ที่หลากหลาย เราสามารถเห็นวิวัฒนาการของงานสถาปัตยกรรมในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผ่านทางตึกรอบเมืองนี้เลย โคตรเจ๋งง
เที่ยวชิคาโก (Chicago) ให้คุ้มด้วยบัตร Chicago CityPASS และ Go! Explorer
ต้องบอกว่าค่าเข้าของหลายที่เที่ยวในชิคาโกนั้นไม่ฟรีนะเอ้อ ทุกพิพิธภัณฑ์ตัวท็อป หรือแม้แต่จุดชมวิวบนตึกสูงของชิคาโก้คือเสียตังค์ค่าเข้าหมด แถมแต่ละอันก็คือแพงเอาเรื่องในราคาหลักพันอัพทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าใครเที่ยวเยอะแบบก๊อตในแพลนนี้ แนะนำให้สอย Chicago CityPASS และ Go! Explorer ได้เลย เพราะเที่ยวตามรีวิวนี้เลย เราจะประหยัดไปได้ 43% หรือประมาณ $125 (ราวๆ 4,200 บาทนะเว้ยยย) ถือว่าคุ้มค่ามาก
Chicago CityPASS
สำหรับ Chicago CityPASS นั้น จะง่ายหน่อย เพราะเค้าจัดแพ็คตั๋วค่าเข้ามาแล้วโดยเราสามารถเลือกได้ 5 สถานที่ จากที่เที่ยวตามนี้คือ เหล่าพิพิธภัณฑ์ Shedd Aquarium, Field Museum, Art Institute of Chicago, Museum of Science and Industry, Adler Planetarium และ Observation Deck หรือจุดชมวิวบนตึกสูงอย่าง Skydeck Chicago และ 360 Chicago นั่นเอง ซึ่งบัตรนี้ถือว่าครบเครื่องที่เที่ยวชิคาโก และโคตรประหยัดสำหรับคนที่จะเก็บที่เที่ยวไฮไลท์ของชิคาโกแหละ
เงื่อนไข การใช้ Chicago CityPASS คือ
- พาสนี้สามารถเข้าได้ทั้งหมด 5 ที่เที่ยว
- พาสจะบังคับเลือกที่เที่ยว 3 ที่ (ไม่สามารถเปลี่ยนได้) คือ Shedd Aquarium, Skydeck Chicago และ Field Museum
- อีก 2 ที่เที่ยว เราสามารถเลือกได้จากตัวเลือกที่เหลือ คือ Art Institute of Chicago, Museum of Science and Industry, 360 CHICAGO Observation Deck และ Adler Planetarium
- พาสนี้มีอายุ 9 วันติดต่อกัน หลังจากการใช้เข้าสถานที่เที่ยวแรก
สำหรับที่เที่ยวที่ก๊อตเลือกคือตามนี้เลย ตอนแรกก๊อตไม่ได้กะเข้า Shedd Aquarium ถ้าหากตัดออกไปก็ยังถือว่าคุ้มอยู่ คิดไปคิดมาอีกที เออ! มาเที่ยวแล้วทั้งที เก็บให้หมดแม่มมมม ซึ่งเมื่อลองเทียบราคาดูก็ถือว่าคุ้มจริง 55555555
ราคาบัตร Chicago CityPass | $109.00 |
สถานที่เที่ยว | ราคาปกติ |
Shedd Aquarium | $44.90 |
Skydeck Chicago (Fast Track) | $49.00 |
Field Museum (VIP Entry) | $40.00 |
Art Institute of Chicago | $35.00 |
360 Chicago (Express) | $44.00 |
รวมราคาบัตรที่เที่ยวปกติ | $212.90 |
ประยัด % | 49% |
ประหยัด $ | $103.90 |
ถ้าถามว่าซื้อที่ไหน ก๊อตเลือกเจ้าเก่าเจ้าเดิมคือ KLOOK เพราะด้วยความคุ้นชินของตัวเอง แถมราคายังถูกกว่าเมื่อซื้อจากตรงเว็บเค้าเอง หรือหน้าเค้าท์เตอร์ที่ชิคาโก้แหละเออ ส่วนวิธีการก็ใช้ง่าย เมื่อเราซื้อมาแล้วจาก KLOOK ตั๋วเราจะถูกส่งเข้าทั้งอีเมล แอพคลุก ซึ่งเราสามารถเปิดตั๋วนี้ตรงหน้างาน ให้เค้าแสกน QR Code ได้เลย ง่ายมากๆ
> เช็คราคา Chicago CityPass [ซื้อผ่าน KLOOK] [ซื้อผ่าน KKDAY]
Go City – Explorer Pass Chicago
ต้องบอกก่อน ว่าพาสตระกูล Go City ทั้งหลาย (มีอยู่หลายเมืองทั่วโลก) มักจะแบ่งออกเป็นพาสสองประเภทตามเมืองคือ All-Inclusive Pass และ Explorer Pass ซึ่งความต่างก็ง่ายๆ เลยคือ All-Inclusive Pass จะสามารถเข้าได้ทุกสถานที่ท่องเที่ยว ตามจำนวนวันที่เราซื้อ ส่วน Explorer Pass จะเป็นการซื้อตามจำนวนที่เที่ยวที่เราต้องการ โดยไม่มีเรื่องวันมาจำกัดนั่นเอง ซึ่งทั้งสองพาสนั้น สถานที่ท่องเที่ยวจะเหมือนกันหมด โดย Go City ของเมืองชิคาโกเอง จะมีทั้งหมดประมาณ 45 อัน รวมหมดทั้งที่เที่ยว พิพิธภัณฑ์ เช่าจักรยาน กิจกรรมต่างๆ เยอะแยะมากมายเลย
ทีนี้ตัวก๊อตเองซื้อพาส Go! Explorer Chicago เพิ่มเพราะว่า อยากไปทัวร์ล่องเรือชมสถาปัตยกรรมเมือง หรือ Shoreline Architecture River Cruise ที่ถือเป็น A Must Thing To Do ของชิคาโกเลยแหละ และด้วยความที่อยากไป Museum of Science and Industry ด้วย ก๊อตก็เลยตัดสินใจซื้อพาสนี้ เพราะเมื่อเทียบราคาแล้วถือว่าการซื้อพาสนั้นถูกกว่านั่นเอง
ราคาบัตร Go City – Explorer Pass Chicago 2 แห่ง | $59.00 |
สถานที่เที่ยว | ราคาปกติ |
Museum of Science and Industry | $33.95 |
Shoreline Architecture River Cruise | $46.87 |
รวมราคาบัตรที่เที่ยวปกติ | $80.82 |
ประยัด % | 27% |
ประหยัด $ | $21.82 |
สำหรับการซื้อ Go City – Explorer Pass นั้น สามารถซื้อผ่านทาง KLOOK หรือไม่ก็ KKDay ได้เช่นกัน ชอบเจ้าไหน หรืออันไหนถูกว่า เลือกอันนั้นได้เล้ย
เช็คราคา Go City – Explorer Pass [ซื้อผ่าน KLOOK] [ซื้อผ่าน KKDAY]
🎫 ลิสตั๋วที่เที่ยวแยกของชิคาโก้
สำหรับคนที่ไม่ซื้อพาสเหมา สามารถหาซื้อบัตรที่เที่ยวชิคาโก้แยกตามลิสด้านล่างนี้ได้เลย ส่วนตัวแนะนำให้ซื้อผ่าน Klook หรือ KKday เพราะเป็นราคาบาท มีซัพพอร์ทภาษาไทย เวลามีปัญหาอะไรติดต่อได้ง่าย นอกจากนี้อย่าลืมดูส่วนลดประจำเดือนของแต่ละค่ายก่อนด้วยนะ จะได้ประหยัดขึ้นและซื้อได้ถูกกว่าซื้อที่หน้าร้านด้วย คอนเฟิร์ม
🏙 จุดชมวิวเมืองชิคาโก้
- 360 Chicago Observation Deck [ซื้อผ่าน KLOOK] [ซื้อผ่าน KKDAY]
- SkyDeck Chicago Observation Deck [ซื้อผ่าน KLOOK] [ซื้อผ่าน KKDAY]
🏛 พิพิธภัณฑ์ในชิคาโก้
- The Field Museum of Natural History [ซื้อผ่าน KLOOK]
- Museum of Contemporary Art (MCA Chicago) [ซื้อผ่าน KLOOK]
- The Art Institute of Chicago [ซื้อผ่าน KLOOK]
🎟 อื่นๆ
- LEGOLAND Discovery Center Chicago [ซื้อผ่าน KLOOK]
- Big Bus Hop-On Hop-Off Chicago [ซื้อผ่าน KLOOK] [ซื้อผ่าน KKDAY]
- Shoreline Architecture River Cruise [ซื้อผ่าน KLOOK]
👀 หาส่วนลด Klook อัพเดทรายเดือน / หาส่วนลด KKday อัพเดทรายเดือน / หาส่วนลดโรงแรมจาก Agoda
เดินทางจากสนามบินเข้าเมือง / เดินทางภายในเมืองชิคาโก + บัตร Ventra Card
สำหรับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในชิคาโกถือว่าสะดวกมาก และบอกเลยว่าเราไม่จำเป็นต้องเช่ารถสำหรับการเที่ยวภายในตัวเมืองชิคาโก้เล้ย ทีนี้ก๊อตขอมาบอกเบื้องต้นคร่าวๆ เกี่ยวกับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณ์ของชิคาโกก่อน ซึ่งเค้าจะมีรถเมล์และรถไฟในตัวเมือง โดยรวมๆ เค้าจะเรียกว่า Chicago Transit Authority หรือ CTA ซึ่งนี่ถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกาเลยนะเออ
สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้เลยคือ การเรียกรถไฟในเมืองของเค้า จะเรียกสั้นๆว่า ‘L’ โดยมีทั้งหมด 8 สาย แบ่งตามสีต่างๆ คล้ายๆ บ้านเรานั่นแหละ // นอกจากรถไฟ L ของ CTA แล้ว จริงๆ ยังมีอีกหนึ่งเครือข่ายรถไฟในชิคาโกเรียกว่า Metra Rail แต่รถไฟอันนี้มักจะเปนสายที่เชื่อมต่อกับย่านต่างๆ นอกเมืองมากกว่า ซึ่งตัวก๊อตเองไม่ได้ใช้เลยในทริปนี้ ดังนั้น ก๊อตจะไม่แตะตัว Metra Rail นะ เดี๋ยวงงกันไปหมด
เดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
สำหรับคนที่บินมาลงสนามบินในชิคาโก ไม่ว่าจะเป็น O’Hare International Airport หรือ Chicago Midway International Airport เราสามารถเดินทางเข้าเมือง หรือจากเมืองไปสนามบินด้วยรถไฟ L ของ CTA ได้เลย ถือว่าง่าย สะดวก และโคตรถูก
ส่วนใครที่ของเยอะมาก หรือไม่อยากนั่งรถไฟ จะนั่งแท็กซี่หรือ Shuttle Van ก็ได้ แต่ถ้าให้แนะนำ และเอาให้สะดวกแบบรู้ราคาล่วงหน้าจริงๆ ก๊อตแนะนำให้เราเรียก Uber หรือ Lyft จากแอพได้เลย ถือเป็นอีกตัวเลือกนึงที่ดีมากเหมือนกัน ยังไงลองดูเปรียบเทียบการเดินทางจากด้านล่างนี้ได้ เอามาจากเว็บ CTA ซึ่งเค้าเปรียบเทียบได้ดีมากกก
โหมดเดินทาง | ราคาค่าโดยสารระหว่าง สนามบิน | ระยะเวลาเดินทางระหว่าง สนามบิน | ราคาค่าโดยสารระหว่าง สนามบิน | ระยะเวลาเดินทางระหว่าง สนามบิน |
รถไฟ CTA | $5 หรือน้อยกว่า / (รถไฟสายสีฟ้า) | 45 นาที | $2.50 หรือน้อยกว่า / (รถไฟสายสีส้ม) | 25 นาที |
แท็กซี่ | ประมาณ $40 | 25-90 นาที แล้วแต่สภาพจราจร | ประมาณ $25 | 15-40 นาที แล้วแต่สภาพจราจร |
รถตู้รับ-ส่งสนามบิน | มากกว่า $25 | 25-90 นาที แล้วแต่สภาพจราจร | มากกว่า $15 | 15-40 นาที แล้วแต่สภาพจราจร |
แอพ Rideshare (Uber / Lyft) | ราว $35-50 (และราคาอาจขึ้นไป $100++) | 25-90 นาที แล้วแต่สภาพจราจร | ราวๆ $25-40 (และราคาอาจขึ้นไป $100++) | 15-40 นาที แล้วแต่สภาพจราจร |
เดินทางภายในเมืองชิคาโก + บัตร Ventra Card
สำหรับการเดินทางในชิคาโกถือว่าสะดวกมาก เพราะรถไฟและรถเมล์นั้นครอบคลุมทั่วทั้งเมืองเลย ส่วนเรื่องราคาค่าโดยสารนั้น จะเป็นแบบราคาเดียวยิงยาว จะนั่งนานนั่งสั้นก็ยืนหนึ่งราคาเดียวคือ รถไฟ ‘L’ ราคา $2.5 และรถเมล์ $2.25
บัตร Ventra Card
เพื่อความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการเดินทาง ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ Ventra Card สำหรับใช้เดินทางในชิคาโกนะ มันจะเป็นบัตรที่สามารถใช้แตะเดินทางบนระบบขนส่งสาธารณะได้ทั้งหมดของชิคาโกเลย ซึ่งอันนี้ดีมาก เพราะนอกจากความสะดวก ไม่ต้องเสียเวลามาซื้อตั๋วตลอดทุกการเดินทางแล้ว เราสามารถเปลี่ยนสายรถไฟ หรือรถเมล์ได้ฟรีภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมงด้วย ซึ่งความฟรีอันนี้ได้เฉพาะคนใช้ Ventra Card เท่านั้น คนจ่ายเงินสดคือไม่ได้สิ่งนี้เด้อ ดังนั้น ก๊อตแนะนำให้ซื้อ Ventra ไว้เลยตั้งแต่ครั้งแรกโลด ราคาบัตรจะอยู่ที่ $5 เท่านั้น
ซื้อบัตร Ventra Card มาแล้ว นี่อยากให้ทุกคนโหลดแอพนางมาด้วย เพราะถ้าเราลงทะเบียนบัตรเราผ่านแอพ เราจะได้ $5 คืนเข้าบัตรไว้ใช้เดินทางได้ เท่ากับว่าเราจะได้บัตรนี้มาฟรีโดยไม่เสียตังค์ซักแดง แถมยังได้เปลี่ยนสายรถไฟ-รถเมล์ฟรีอีกด้วย เริ่ด เริ่ด เริ่ดดด
CTA Passes
สำหรับคนที่คิดว่า น่าจะได้รถเมล์ + รถเมล์ ต่อวันมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ CTA Passes เข้าบัตร Ventra Card ที่ตู้โดยสารได้เลยนะ (หรือจะผ่านแอพ Ventra Card ก็ได้) เพราะพาสนี้เราสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดตามจำนวนวันที่เราซื้อ ซึ่งตรงนี้สามารถทำให้เราประหยัดเงินค่าเดินทางได้อีกเยอะเลย ตัวก๊อตเองอะซื้อ ถึงจะนั่งรถไฟไป-กลับต่อวันแค่ 2 รอบ ก็เท่าทุนอยู่ดี แต่ถ้าอยู่ดีๆ แพลนเปลี่ยนและเราต้องนั่งรถเพิ่มอีก คือเท่ากับเรากำไรนะเว้ย ประหยัดไปได้หลายสิบบาท หรืออาจะเป็นร้อยเล้ย
ข้อมูลพร้อมแล้ว เริ่มเที่ยวชิคาโกกันได้เลย!
Day 1 : มิวเซียมแคมปัส (Museum Campus)
สำหรับวันแรกของชิคาโก ก๊อตจะไปเที่ยวที่ มิวเซียมแคมปัส (Museum Campus) กันก่อน โดยที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่รวมเอาพิพิธภัณฑ์สามแห่งตั้งไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นแคมปัส คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของฟิลด์ (Field Museum) และ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเชดด์ (Shedd Aquarium) และ ท้องฟ้าจำลองชิคาโกแอดเลอร์ (Adler Planetarium) นั่นเอง
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของฟิลด์ (Field Museum)
ต้องบอกก่อนว่าที่ ชิคาโก (Chicago) นั้นมีพิพิธภัณฑ์อยู่เยอะมากๆ และแต่ละที่ก็มีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไป โดยที่แรกที่ก๊อตได้มาเที่ยวคือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟิลด์ (Field Museum) ที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สิ่งมีชีวิตมากกว่า 24 ล้านชิ้น และยังเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟิลด์ (Field Museum) มีการจัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆ ที่นักสำรวจได้ไปค้นพบ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทางธรรมชาติมากมาย เช่น การประกอบพิธีของอียิปต์โบราณ ข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงของจีน อัญมณีโบราณหายาก และอีกเยอะแยะมากมาย โดยอันไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสุดคือ โครงการดูกไดโนเสาร์ Máximo the Titanosaur ที่ใหญ่มากที่สุด และสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบซากฟอสซิลบนโลกนี้
เอาจริงป่ะ แค่เราเดินเข้ามายัง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟิลด์ (Field Museum) ก็เจอความยิ่งใหญ่อลังการของฟอสซิล Máximo the Titanosaur ที่ถือเป็นไฮไลท์ที่สุดของที่นี่ ตั้งสูงตระหง่านกลางพิพิธภัณฑ์ จนนี่ต้องร้องอุทานในใจว่า ‘เชดเขร้ ใหญ่สัสรัสเซียของจริง’ คือโครงน้องใหญ่ม๊าก ใหญ่จนกล้องถ่ายรูปเก็บตัวน้องไม่หมดอะคิดดู้วว
เจ้า Máximo the Titanosaur ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวอายุกว่า 100 ล้านปี ถูกค้นพบในเมืองปาตาโกเนีย ประเทศอาร์เจนตินา ถือเป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบขึ้นมาบนโลกนี้ โครงกระดูกนี้มีความสูงโดยราวๆ 37 เมตร คือแค่หัวของน้องก็สูง ไปถึง 8.5 เมตรแล้วแกร
เค้าบอกกันว่าโครงกระดูกชุดนี้ ใหญ่กว่าปลาวาฬสีน้ำเงินที่เป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปอี๊ก คือโคตรใหญ่ และโคตรสูง! ซึ่งนักวิจัยเค้าก็คาดการณ์กันว่าน้องจะต้องมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 70 ตัน (เทียบเท่ากับช้างแอฟริกา 10 ตัว) ถ้าเกิดมาในยุคที่มีน้อง Máximo the Titanosaur นี่คือต้องวิ่งหนีอย่างเดียวเลยนะ 55555555
อีกโซนที่น่าสนใจคือ โซน Inside Ancient Egypt เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมมัมมี่ไว้มากที่สุดที่หนึ่งในอเมริกา โดยมีมัมมี่ที่เป็นมนุษย์ 23 คน และมัมมี่สัตว์อีก 30 ตัว ถือเป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่เลอค่ามากจริงๆ โดยเฉพาะกับคนที่อินและสนใจเกี่ยวกับมัมมี่แหละ
ภายในห้องก็จะจัดแสดงประวัติ วิถีชีวิตต่างๆ ของชาวอียิปต์โบราณ และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องการประกอบพิธีฝังศพด้วย โดยเค้าทำเป็นตู้โชว์จัดแสดงเป็นโมเดลวิธีการทำมัมมี่ ซึ่งทำได้โคตรดี อีกทั้งเราจะเห็นมัมมี่ของจริง และหลุมฝังศพมัมมี่ที่มาจากสุสานจริงของ Unis-Ankh ผู้ซึ่งเป็นโอรสของอูนัส (Unas) ฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 5 แห่งอียิปต์นั่นเอง
สุดท้ายที่ถือเป็นไฮไลท์เด็ดที่ห้ามพลาดของ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟิลด์ (Field Museum) คือการมาดูห้อง Griffin Halls of Evolving Planet ที่เล่าเรื่องของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เซลล์ขนาดเล็กในยุคดึกดำบรรพ์ มาจนถึงยุคปัจจุบันเลย โดยอันที่โด่งดังสุดของห้องนี้คือ โครงกระดูก SUE the T. rex ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่ถือว่าสมบูรณ์ที่สุดที่โลกเท่าที่เคยสำรวจมา ซึ่งนี่ก็ทำให้คนที่ได้มาดูนั้นตื่นตาตื่นใจมากจริงๆ
เอาจริง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟิลด์ (Field Museum) ถือเป็นการเปิดทริป ชิคาโก (Chicago) ที่ปังมาก เพราะที่นี่ยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือและมีสิ่งที่น่าสนใจให้ดูเยอะมาก เดินไปดูโซนไหนก็ตื่นตาตื่นใจ เหมือนได้เปิดโลกวัยเด็กให้ก๊อตอีกครั้งเลย บอกเลยว่าเหมาะมากกับการพาน้องๆ หนูๆ มาเปิดโลก หรือถ้าใครที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ไดโนเสาร์ ก๊อตแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่มากๆ ด้วยเช่นกันเด้อ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเชดด์ (Shedd Aquarium)
เดินออกมากจาก พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของฟิลด์ (Field Museum) ไม่ไกลเราก็จะเจอ เชดด์ อควาเรียม (Shedd Aquarium) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์น้ำเยอะมากราวๆ 32,500 ตัวจากทั่วทุกมุมโลก มีตั้งแต่สัตว์ตัวจิ๋วแบบหอยทากจนไปถึงวาฬตัวใหญ่เลย
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเชดด์ (Shedd Aquarium) ก่อตั้งเมื่อปี 1930 ถ้านับจนถึงตอนนี้ก็มีอายุเกือบ 100 ปีแล้ว ซึ่งความยิ่งใหญ่ของอควาเรียมนี้คือ เคยเป็นอควาเรียมในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปี 2005 เลยนะ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นอควาเรียมบนพื้นดินที่มีคอลเล็คชั่นสัตว์น้ำทะเลแบบถาวรแห่งแรกของโลกอีกด้วยนะเออ
ต้องบอกตามตรงว่าตอนแรก ก๊อตไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวที่นี่แหละ แต่ด้วยความที่ก๊อตมีบัตร Chicago City Pass มา ซึ่งมันก็รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของฟิลด์ (Field Museum) และ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเชดด์ (Shedd Aquarium) ไว้ด้วย แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก คือเดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว
ไฮไลท์เด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือน้องวาฬเบลูก้า (Beluga Whale) วาฬสีขาวตัวใหญ่ในอยู่ในโซน Abbott Oceanarium ซึ่งน้องจะว่ายไปมาอยู่ในสระและจะชอบมาทักทายกับคนที่มาดูน้อง แล้วคือน้องน่ารักและขี้เล่นมากกกก มีความเล่นกล้องสุดอะไรสุดเลยแหละ ฮ่า
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าวาฬเบลูก้านั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดและมีความสามารถเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องของการใช้เสียง จนน้องได้ชื่อว่าเป็น ‘นกคานารีแห่งท้องทะเล’ เพราะว่าน้องส่งเสียงได้หลายโทนและยังเลียนแบบเสียงพูดของคนได้อีกด้วย พอรู้แบบนี้ก็รู้สึกว่าวาฬเบลูก้าน่ารักขึ้นไปอีก ฮ่าๆ
ตอนแรกก็คิดว่าที่นี่จะมีแต่พวกสัตว์น้ำ เพราะน้องจากน้องวาฬขาวแล้วก็ยังมีสัตว์อื่นๆ อยู่อีกเยอะเลย เช่น นากทะเล สิงโตทะเล เพนกวิ้น หมึกยักษ์ สัตว์เลื้อยคลาน หรือแม้แต่สัตว์ตระกูลนกก็มา ดังนั้น โดยรวมก๊อตชอบที่ เชดด์ อวาเรียม (Shedd Aquarium) มากเหมือนกันนะ ใครที่ชอบดูน้องๆ สัตว์น้ำนี่แนะนำให้มาเลย ถ้าใครมาเที่ยวเป็นครอบครัว ที่นี่ก็เหมาะกับเด็กที่จะได้เจอและเรียนรู้สัตว์ต่างๆ อีกมากมายเลยแหละ ถือว่าดีงามเด้อ
หลังจากเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเชดด์ (Shedd Aquarium) เรียบร้อยแล้ว ถ้าใครมีเวลาและอยากชิล ตรง Museum Campus เองก็สวนสาธารณะในตัวกว้างใหญ่มาก โดยบริเวณที่ก๊อตชอบมากคือแถวๆ ทะเลสาบที่เราสามารถมองวิวเมืองชิคาโกได้เต็มตา มีพื้นที่สนามหญ้าที่ต่างคนต่างมานั่งเล่นกัน ทางเดินที่คนพากันมาทั้งเดินเล่น วิ่ง ปั่นจักรยานกันเต็มไปหมด บอกเลยว่าบรรยากาศโคตรดีเลยแหละ ก๊อตใช้เวลานั่งเปื่อยอยู่ตรงนี้ซักพักนึงเลย อิ่มอกอิ่มใจเว่อร์
สำหรับที่เที่ยวต่อไปตามแพลนก๊อตคือ ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) โดยเราสามารถนั่งเรือที่เค้าเรียกว่าเป็น Shoreline Water Taxi ที่เป็นเส้นทางจาก Museum Campus ไปที่ ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) ได้เลย โดยค่านั่งเรือจะอยู่ที่ $10 ซึ่งถือว่าคุ้มอยู่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีแพลนล่องเรือชมตึกในเมืองชิคาโก การมานั่งเรือตรงนี้ก็ชิลดี แถมยังได้มองวิวสกายไลน์เมืองชิคาโกจากทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ได้อีกด้วย
หากใครไม่รู้ ทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ถือเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มทะเลสาบเกรตเลกส์ (Great Lakes) ในอเมริกาเหนือ และยังเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 6 ของโลกเชียวนะ ถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ม๊ากกก
หลังจากที่เราล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) แล้ว เรือจะเทียบท่าตรงท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) พอดิบพอดี ที่นี่เป็นเหมือนคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มาเต็มด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และสวนสนุกคลาสสิกที่คนชิคาโกรู้จักกันดีแหละ
ด้วยความเก่าแก่ของ ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1916 และมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว ที่นี่เลยเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองชิคาโก้ โดยชื่อเดิมของที่นี่คือ Municipal Pier ที่เป็นท่าเรือที่ใช้เป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าและเรือโดยสาร จนต่อมาทางสหรัฐฯ ก็ประกาศทำสงครามกับเยอรมนี ท่าเรือนี้เลยเปลี่ยนเป็นที่ฝึกทหารแทน จนตอนหลังเมื่อสงครามสิ้นสุด ท่าเรือตรงนี้เลยเปลี่ยนชื่อเป็น Navy Pier เพื่อเป็นเกียรติให้กับทหารที่เคยได้ไปทำสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นเอง
ในช่วงปี 1994 ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) ถูกปรับโฉมท่าเรือใหม่ทั้งหมด แล้วมาเปิดให้ใช้ในอีก 1 ปีต่อมา จนตอนนี้ ท่าเรือเนวี่กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ฮิตของนักท่องเที่ยวมาถึงทุกวันนี้ โดยจุดที่คนชอบมาเที่ยวกันมาก และถือเป็นไอคอนิคของที่นี่คือชิงช้าสวรรค์ Centenial Wheel ที่สูงถึง 61 เมตร และ Wave Swinger เครื่องเล่นชิงช้าหมุนกลางอากาศ ซึ่งถ้าใครชอบเล่นอะไรแบบนี้ก็จัดโลด เพื่อนเล่นเยอะ ไม่ต้องกลัวเหงาเด้อ
สำหรับ ชิคาโก (Chicago) แล้ว ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) เป็นอีกหนึ่งจุดดูพลุที่สวยมาก ถ้าใครอยากมาดูพลุเนี่ย สามารถมาดูได้ทุกวันพุธและวันเสาร์ ช่วงเดือนพฤษภาคม – กันยายน โดยการแสดงพลุเค้ามักจะเริ่มประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง แต่ยังไงก็ลองเช็ควันโชว์อีกรอบน้า
สวนสาธารณะมิลตัน ลี โอลีฟ (Milton Lee Olive Park)
เดินออกมาจาก ท่าเรือเนวี่ (Navy Pier) ไปประมาณ 5 นาทีเราก็จะเจอกับ สวนสาธารณะมิลตัน ลี โอลีฟ (Milton Lee Olive Park) ที่ตั้งอยู่ติดกัน สวนสาธารณะแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เราสามารถมองเห็นวิวตึกสวยๆ ของเมือง ชิคาโก (Chicago) ได้ชัดมาก โดยเฉพาะตึก 875 North Michigan Avenue ตึกที่ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลย
สวนสาธารณะมิลตัน ลี โอลีฟ (Milton Lee Olive Park) ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันชื่อว่า Dan Kiley ในปี 1965 ที่นี่ออกแบบได้มีเอกลักษณ์มาก ตรงกลางสวนจะเป็นสนามหญ้าสีเขียวที่มีลานน้ำพุกลมๆ อยู่ทั้งหมด 5 วงขนาดต่างกัน ซึ่งเค้าได้แรงบันดาลใจมากจากทะเลสาบทั้ง 5 ที่อยู่ในกลุ่มทะเลสาบเกรตเลกส์ (Great Lakes)
ทีมาของชื่อ สวนสาธารณะมิลตัน ลี โอลีฟ (Milton Lee Olive Park) ได้มาจากชื่อของทหารของกองทัพสหรัฐฯ คนนึง ที่มีชื่อว่า มิลตัน ลี โอลีฟ ที่สาม (Milton L. Olive III) เค้าเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับ Medal Of Honor เหรียญเกียรติยศขั้นสูงสุดของอเมริกาจากการสละชีพตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของเพื่อนเค้าในสงครามเวียดนาม
คนชิคาโกชอบมานั่งพักผ่อนและวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่เยอะเหมือนกันนะ เพราะบรรยากาศภายในสวนสาธารณะนี้ดีมากเลยแหละ หลายคนชอบมาถ่ายรูปเล่นกัน รวมถึงคู่รักหลายคู่ก็ชอบมาถ่ายพรีเวดดิ้งหรือขอแต่งงานกันที่นี่อีกด้วย
แต่สิ่งที่ก๊อตชอบมากที่สุด คงเป็นการดูพระอาทิตย์ตกกับวิวสกายไลน์เมืองชิคาโก เพราะมันโคตรสวยและโรแมนติกมากเว้ย ใครที่จะมา ก๊อตแนะนำให้เรามาเที่ยวตอนเย็นๆ ค่ำนี่แหละ บรรยากาศคือดีย์
Day 2 : เดอะ ลูป (The Loop) – Chicago Downtown
วันแรกของชิคาโก (Chicago) เราได้เที่ยวแถวๆ ติดทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ไปแล้ว วันที่ 2 และ 3 ของทริปนี้ ก๊อตจะพาทุกคนเขยิบมายังโซน เดอะลูป (The Loop) ที่ถือเป็นดาวน์ทาวน์ ใจกลางเมืองของชิคาโก ซึ่งที่เที่ยวย่านนี้ก็จะเต็มไปที่เที่ยวแลนด์มาร์ค และงานศิลปะสาธารณะ (Public Arts) ของชิคาโกที่ถือเป็น Iconic ของชิคาโกนั่นเอง
มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park)
ที่เที่ยวแรกของชิคาโกที่ห้ามพลาดเลยคือ มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) กับสวนสาธารณะใจกลางเมืองขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 60 ไร่ ที่เป็นทั้งพื้นที่สีเขียวสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และยังเป็นศูนย์กลางของที่ตั้งชิ้นงานศิลปะสาธารณะที่โด่งดังระดับโลก อย่าง Cloud Gate หรือ The Bean เม็ดถั่วที่หลายคนรู้จักกันดี รวมถึงมีเวทีกาแสดงพาวิลเลี่ยน อนุเสาวรีย์ เธียร์เตอร์ และอื่นอีกเยอะแยะเลย
มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) ถูกสร้างขึ้นมาเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของ Richard M. Daley นายกเทศมนตรีของเมืองชิคาโก ที่เริ่มมาจากตอนนั้นที่เค้ามองออกไปนอกหน้าต่างจากห้องทำงานเค้าแล้วเห็นว่าข้างนอกมีแต่สถานีรถไฟ และลานจอดรถที่มีรถหลายร้อยคันจอดอยู่ ซึ่งมันไม่ได้มีความสวยงามหรือรู้สึกผ่อนคลายเลย เค้าก็เลยพูดขึ้นมาว่า “เรามาทำที่ตรงนี้ให้เป็นสวนสาธารณะกันเถอะ” แล้วเค้าก็เริ่มพัฒนาพื้นที่ตรงนี้มาเรื่อยๆ จนสวยงามแบบทุกวันนี้แหละ และมีคนมาเยี่ยมเยือนที่นี่มากกว่า 20 ล้านคนต่อปีแล้ว เจ๋งเนอะ
Cloud Gate / The Bean
สำหรับแลนด์มาร์คที่ดังสุด และถือเป็นสัญลักษณ์ของชิคาโกไปเรียบร้อยแล้ว คือ Cloud Gate หรือที่คนชอบเรียกกันว่า The Bean ซึ่งมันคือเจ้าถั่วสแตนเลสยักษ์ที่เป็นงานศิลปะกลางแจ้งถาวรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และความจึ้งของมันคือความเว้าโค้งของรูปทรงที่สะท้อนเล่นกับแสงและเปลี่ยนไปตลอดทั้งวันนี่แหละ
Cloud Gate เป็นผลงานของ Anish Kapoor ศิลปินชาวอังกฤษ ซึ่งงานนี้คืองานศิลปะกลางแจ้งแบบถาวรงานแรกของเค้าในอเมริกา ที่ใช้แผ่นสแตนเลสจำนวน 168 แผ่นมาต่อเข้ากันจนกลายเป็นรูปถั่ว ถือเป็นผลงานที่ปังและได้รับความนิยมมากที่สุดของเค้าด้วย
เจ้าถั่วนี่ถือเป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตอันดับหนึ่งของชิคาโก้นะเว้ย ทั้งวันจะมีนักท่องเที่ยวหลายคนแวะเวียนมาถ่ายรูปเยอะมาก ดังนั้น ทำใจไว้ก่อนว่าคนจะเยอะมาก และยากมากที่จะถ่ายรูปแล้วไม่ติดคน ตอนแรกก๊อตมาช่วงเกือบๆ เที่ยง คือคนแน่นสุด จนก๊อตต้องกลับมาถ่ายซ่อมอีกครั้งในอีกวันนึงตอนช่วง 8 โมงเช้า ซึ่งถ่ายง่ายกว่าเยอะเพราะคนน้อยกว่าเยอะมาก ดังนั้น ถ้าอยากได้รูปสวยๆ แนะนำให้ยอมตื่นและมาตั้งแต่เช้าเลยเด้อ ไม่ผิดหวังแน่นอน
และที่อยากบอกคือ ด้วยความที่ Cloud Gate มันเป็นสีเงินๆ รูปทรงเว้าโค้งเป็นก้อนถั่ว พอมันสะท้อนกับวิวของแนวตึกชิคาโก้แล้วคือสวยมาก หลายคนเลยชอบมาถ่ายเซลฟี่กัน ส่วนตัวก๊อตว่าชิ้นงานนี้คือคิดมาดีมาก และมันทำให้ชิคาโกไม่เหมือนเมืองไหนในโลกจริงๆ ดังนั้น ถ้ามาเที่ยว ชิคาโก (Chicago) แล้ว โดยเฉพาะถ้ามาเที่ยวครั้งแรกแล้วล่ะก็ ถึงจะยุ่งแค่ไหนก็ต้องแวะมาถ่ายรูปที่นี่นะเอ้อออ!
อนุสาวรีย์มิลเลนเนียม (Millennium Monument)
ไม่ไกลจาก Cloud Gate เดินมานิดหน่อย เราจะเจอกับ อนุสาวรีย์มิลเลนเนียม (Millennium Monument) ที่สร้างมาเพื่อเป็นการขอบคุณผู้ก่อตั้ง 122 คน ที่ร่วมสนับสนุนและสวนสาธารณะนี้ขึ้นมา โดยเค้ามีการจารึกรายชื่อไว้ตรงฐานเสาด้วย ซึ่งเสาหินที่ทำอนุเสาวรีย์นี้เอามาจากรัฐอินเดียน่า และฐานเสานั้นนำเข้ามาจากฝรั่งเศสเลยน้า
ตรงลานหน้า อนุสาวรีย์มิลเลนเนียม (Millennium Monument) เค้าก็จะมีลานกว้างสนามหญ้ากว้างๆ ที่เป็นอีกจุดหนึ่งสำหรับการมานั่งเล่นปิกนิกกัน ใครเบื่อๆ จะมานั่งหรือนอนเล่นก็ได้นะ ชิลมากบอกเลย
Crown Fountain
อีกหนึ่ง Public Art ใน มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) ที่ฮิตมากนั้น ต้องยกให้กับ Crown Fountain กับกล่องจอ LED ที่ถ่ายฉายภาพหน้าคนสลับเวียนกันไปเรื่อยๆ โดยลูกเล่นของงานนี้คือ ที่ปากของคนจะมีช่องที่จะปล่อยน้ำออกมา มองแล้วเหมือนเป็นคนกำลังพ่นน้ำอยู่นั่นเอง ตรงนี้ก็จะมีเด็กๆ มาเล่นน้ำเยอะมาก ยิ่งเวลาที่มีน้ำพุ่งออกมา เด็กๆ จะวิ่งกรูกันไปยืนเล่นให้โดนน้ำสาดเต็มๆ ถือว่าเป็นอีกจุดที่ดูสนุกสนานมาก ครึกครื้นเลยแหละ 5555
สำหรับเบื้องหลังของน้ำพุ Crown Fountain นั้น เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากรูปปั้นสัตว์ประหลาดโบราณของชาวคริสต์ที่เรียกว่า การ์กอยล์ (Gargoyle) ซึ่งถ้าใครเคยเรียนเรื่องประวัติศาสตร์งานสถาปัตยกรรมก็จะคุ้นๆ ว่าตามโบสถ์วิหารเค้าจะมีเหมือนสัตว์ประหลาดเกาะอยู่บนหลังคา ซึ่งเป็นความเชื่อของคนโบราณที่เอา ‘การ์กอยล์’ มาประจำการรักษาโบสถ์วิหาร แล้วยังเป็นตัวระบายน้ำบนหลังคาโดยให้น้ำไหลออกมาจากปากของมันด้วย
Jaume Plensa ศิลปินและประติมากรชาวสเปน เลยเอาไอเดียนี้มาใช้ในการออกแบบ Crown Fountain คือเค้าได้เจาะช่องปล่อยน้ำให้ไหลออกมาที่ปากของคนบนจอเหมือนกับน้ำที่ไหลออกจากปากของการ์กอยล์นั่นเอง อีกแง่นึงคือคนที่นี่ชื่อกันว่าน้ำคือสัญลักษณ์ของชีวิตด้วย บริเวณนี้ก็เลยดูมีชีวิตชีวา มีความสุขและรอยยิ้มเต็มไปหมด
ต้องมีคนสงสัยแน่ว่าใบหน้าคนบนจอคือใครกันนะ คำตอบก็คือ เป็นหน้าของคนชิคาโกทั้งหมด 1,000 คน ซึ่งเค้าเรียกว่า Faces of Chicago ที่แสดงถึงความหลากหลายของคนชิคาโกที่มีความแตกกัน ในเรื่องของอายุ เพศ สีผิว และชาติพันธุ์นั่นเอง
Jay Pritzker Pavilion
ยังคงอยู่กันที่ มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) ด้วยความที่สวนสาธารณะที่นี่มันใหญ่ และเป็นแหล่งพบปะผู้คนของเมืองชิคาโก เค้าเลยทำให้ที่นี่มีพาวิลเลี่ยนสำหรับจัดงานแสดงและคอนเสิร์ต ซึ่งตรงนี้คือคือ Jay Pritzker Pavilion ที่อยู่ติดกันกับ Cloud Gate นี่แหละ
Jay Pritzker Pavilion เวทีจัดแสดงกลางแจ้งชื่อดังของเมืองนี้ ที่จุคนได้เป็นหมื่นๆ คน พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจัดแสดงคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ และยังตั้งใจสร้างให้มาเป็นศูนย์กลางของ มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) อีกด้วย นี่เป็นงานออกแบบของสถาปนิกระดับโลก ที่มีชื่อว่า Frank Gehry ที่ได้ออกแบบให้ด้านบนของเวทีนี้มีลักษณะเหมือนริบบิ้นขนาดยักษ์ที่ขดบิดไปมา ซึ่งถ้าใครได้รู้จักผลงานอื่นๆ ของเค้าก็จะรู้ว่าอันนี้คือสไตล์งานของเค้าเลยนะ การใช้สเตนเลสที่ทำให้หน้าตามันบิดเบี้ยวแต่ลงตัวแบบนี้
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นเวทีกลางแจ้ง แต่ด้วยความที่ที่นี่เค้ามีระบบเสียงที่โคตรทันสมัย ซึ่งเป็นระบบแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบเสียงของฮอลจัดแสดงคอนเสิร์ตในร่มเลยนะเว้ย ถึงแม้ว่าเราจะนั่งดูคอนเสิร์ตอยู่ไกล แต่ระบบเสียงของ Jay Pritzker Pavilion ก็กระจายเสียงมาแบบทั่วถึง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้มาเป็นสถานที่จัดงานการแสดงดังๆ หลายงาน อย่างเช่น Millennium Park Summer Music and Film Series, Chicago Jazz Festival, Chicago Gospel Music Festival และ Grant Park Music Festival
สำหรับใครที่มาเที่ยวช่วงที่ไม่ได้มีการจัดงานแสดงแบบก๊อต เราก็สามารถมานั่งเล่นสนามหญ้าด้านหน้าเวทีได้ บอกเลยว่าชิลและบรรยากาศดีมากก บอกเลยว่าโคตรเลิฟฟ
สำหรับที่ มิลเลนเนียมพาร์ค (Millennium Park) ก๊อตก็มาเที่ยวประมาณนี้แหละ แต่จริงๆ เค้าก็ยังมีอีกหลายโซนมากเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น Lurie Garden, Boeing Galleries, BP Pedestrian Bridge, Gardens of Millennium Park และยังมีมากกว่านี้อีก เพราะสวนนี้มันใหญ่มากจริงๆ
สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก (Art Institute of Chicago)
สำหรับใครที่เป็นสายอาร์ตมิวเซียม ถ้ามาเที่ยวชิคาโกแล้ว อย่าพลาดที่จะแวะมา สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก (Art Institute of Chicago) เพราะนี่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก่าแก่ ยิ่งใหญ่ และมีชื่อเสียงระดับโลก ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอเมริกา (รองจาก The MET ที่นิวยอร์ก) โดยมีคนเข้าชมมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปีเชียวนะ ที่นี่สะสมผลงานจากศิลปินชื่อดังของโลกเกือบ 3 แสนชิ้น โดยคอลเล็คชั่นงานที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากที่สุดของพิพิธภัณฑ์นี้ คือ ผลงานภาพวาดในช่วง Impressionist และ Post-Impressionist โดยมีไฮไลท์ชิ้นงานที่หาดูได้ยากมากกว่า 30 ชิ้น ซึ่งมีจัดแสดงแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นนะเออ
ด้วยความว่าที่นี่รวบรวมผลงานของศิลปินคนสำคัญของโลกไว้เยอะมาก ก๊อตขอมาชี้เป้าผลงานที่ห้ามพลาดของที่นี่เลยคือ งานในช่วงยุค Impressionism อย่าง ‘Paris Street; Rainy Day’ (1877) ของ กุสตาฟ กายบอตต์ (Gustave Caillebotte) และ ‘The Bedroom’ (1889) ของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh)
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นเคยศิลปะ Impressionism มันคือยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ศิลป์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ศิลปินชอบที่จะถ่ายทอดงานศิลปะผ่านความประทับใจในช่วงเวลาหนึ่ง ผ่านผู้คน แสง บรรยากาศ วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งรอบตัวผ่านมุมมองของศิลปิน ดังนั้น ภาพของ Impressionist จะไม่ได้หวือหวา เว่อร์วัง แต่มันคือภาพสะท้อนเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่ศิลปินต้องการเล่าเรื่องออกมานั่นเอง
มาเยือนอเมริกาและมาที่นี่ทั้งที อย่าลืมที่จะมาดูงาน American Art ของศิลปินอเมริกันชื่อดัง เอ็ดเวิร์ด ฮ็อปเปอร์ (Edward Hopper) กับชิ้นงานภาพวาดสีน้ำมันที่โด่งดังที่สุดของเขาอย่าง ‘Nighthawks’ (1942) ที่สามารถดูชิ้นงานจริงได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น คือโคตรสวยและเลอค่ามาก บอกเลยยย
นี่คือตัวอย่างชิ้นงานเบาๆ พอกรุบกริบให้รู้ว่าที่ สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก (Art Institute of Chicago) นั้นเลอค่าขนาดไหน ถือเป็นอีกหนึ่งอาร์ตมิวเซียมที่ก๊อตประทับใจมากที่สุดแห่งหนึ่งที่ก๊อตเคยได้ไปมาทั้งหมดทั่วโลก ยิ่งถ้าใครชื่นชอบการดูงานศิลป์แบบนี้ หรือเคยเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ (Art History) มาก่อน ก๊อตว่าอินแน่นอน ถือว่าแนะนำ!
Day 3 : Calder’s Flamingo
วันนี้ก๊อตก็ยังจะพาไปเดินเล่นต่อในย่าน Downton ตามเก็บ Public Art และตึกสำคัญๆ ซึ่งทั้งหมดที่ก๊อตจะไปนั้น สามารถเดินลัดเลาะตามถนนได้หมดเลยเด้อ
ก๊อตขอเริ่มต้นที่แรกตรง Federal Plaza กับประติมากรรมสีแดงรูปทรงแปลกตาขนาดใหญ่มาก ตั้งโดดเด่นอยู่ นี่คือผลงานของ Alexander Calder ประติมากรชาวอเมริกันที่ดังที่สุดในศตวรรษที่ 20 กับผลงานชิ้นนี้ที่ชื่อว่า Calder’s Flamingo ซึ่งถูกเอามาโชว์ตั้งแต่ปี 1974 แล้วนะ
ด้วยรูปทรงที่เป็นรูปนกฟลามิงโก้แบบ Abstract สีแดงฉ่ำๆ ที่ชื่อเฉพาะว่า Calder’s Red เมื่อไปตั้งอยู่กลางพลาซ่าที่ล้อมไปด้วยตึกสำนักงานสีเทา-ดำ เลยทำให้งาน Calder’s Flamingo มีกิมมิคและเป็นจุดสนใจของใครหลายคนที่เดินผ่านไปผ่าน และที่เก๋คือ ชิ้นงานนี้กลายเป็นจุด Instagramable Shot ยอดฮิตของชิคาโก้อีกด้วยนะเอ้ออออ
Rookery Building
ไม่ไกลจาก Calder’s Flamingo ก๊อตจะผ่านตึกในตำนานของชิคาโก กับตึก Rookery Building ที่ถือเป็นตึกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นตึกสูงที่เก่าแก่ที่สุดของชิคาโกที่ยังคงตั้งสง่าจนถึงปัจจุบันนี้ สำหรับคนที่อยากเข้าไปชมความงามและความอลังการของตึกนี้ เราต้องซื้อทัวร์เข้าไปเที่ยวเท่านั้นนะ เค้าจะมีทัวร์สองแบบคือแบบ Standard ($12) และแบบ Enhanced Tour ($17) ซึ่งอันนี้ต้องบอกก่อนว่าก๊อตพลาด เพราะรอบทัวร์มีแค่ 10:00 / 11:00 / 12:00 และ 13:00 เท่านั้น และก๊อตมาไม่ทันจ้าา แง้
ตึกนี้เริ่มสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในปี 1888 ซึ่งเป็นผลงานที่สถาปนิก 4 คน โดยเริ่มจาก John Wellborn Root และ Daniel Burnham ที่ร่วมกันออกแบบและสร้างตึกสูง 12 ชั้น ขึ้นมาจนสวยหรูในสไตล์ Romanesque ที่โคตรสวยและละเอียดอ่อนด้วยการวิธีการก่ออิฐและโลหะ ซึ่งตึกนี้ถือว่าเป็นตึกที่ทันสมัยมากในช่วงยุคนั้นเลยนะ
จะบอกว่าด้านในน่ะของเด็ด (ซึ่งก๊อตพลาด) ด้านในเค้าจะตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวและสีทอง เติมแสงธรรมชาติด้วยเพดานกระจกที่มีโครงเหล็กดัดสีขาวฉลุลาย ซึ่งนี่คือไอเดียของ Frank Lloyd Wright สถาปนิกคนที่ 3 ที่กลายเป็นจุด Photogenic ที่คนชอบมาถ่ายรูปกับบันไดวน Oriel ที่วนลงมาจากชั้น 12 ซึ่งถ้ามองจากชั้นบนสุดลงมาคือโคตรสวย อีกอันที่สวยไม่แพ้กันเลยคือลิฟต์สีทองที่ William Drummond สถาปนิกคนที่ 4 ได้เปลี่ยนกรงลิฟต์ให้เป็นประตูทองสัมฤทธิ์ที่มีลายแกะสลักละเอียดมาก ใครที่ชอบดูสถาปัตยกรรมตึกอะไรแบบนี้ อย่าพลาดเด็ดขาดนะเว้ย
Chicago Board of Trade Building
Chicago Board of Trade Building เป็นอีกหนึ่งตึกโคตรดังของชิคาโก ที่คนชอบไปถ่ายรูปมาก เพราะนี่ถือเป็นตึกสไตล์ Art Deco Chicago ที่ดังที่สุด แถมยังเป็นตึกสูงที่สุดในชิคาโกกว่า 35 ปี ตั้งแต่ 1930-1965 อีก นั่นทำให้ Chicago Board of Trade Building กลายเป็นอีกหนึ่งตึกที่โดดเด่น และกลายเป็นโลเคชั่นสุดป็อปสำหรับการถ่ายหนังหลายเรื่องเลย ยกตัวอย่าง ถ้าใครเคยดู Batman Begins มาล่ะก็ อาจจะคุ้นหน่อย เพราะตึกนี้คือสำนักงานใหญ่ Wayne Enterprises ของแบทแมนนั่นแหละ
งานออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco จะนิยมใช้เส้นตรงและเส้นโค้งที่ดูแข็งแรง เสริมความหรูหรา และสง่างามด้วยของตกแต่งเล็กๆ เป็นกิมมิค แต่จะไม่อ่อนช้อยเหมือนสไตล์โรมัน โดยตึก Chicago Board of Trade Building เป็นตึกที่ออกแบบโดย John A. Holabird และ John Wellborn Root เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดการค้า ซึ่งสถาปนิกที่ออกแบบนั้นเป็นคนเดียวกับที่ออกแบบ Rookery Building นั่นแหละ โดยความโดดเด่นของตึกที่เป็นงาน Art Deco แล้ว ยอดตึกยังมีรูปปั้นเทพีเซเรส (Ceres) เทพีแห่งธัญพืชที่ถือฟางข้าวสาลีและถุงข้าวโพด ที่ลดความกรีกโรมันออก และปรับให้เป็นงานสไตล์ Art Deco ล้ำๆ เพื่อให้เข้ากันกับดีไซน์ตึกนั่นเอง
ณ ตอนนี้เราไม่สามารถเดินเข้าไปเที่ยว Chicago Board of Trade Building ได้เน้อ แต่ถ้าใครอยากแวะไปถ่ายรูป ให้เราปักที่ Rookery Building แล้วยืนกลางสี่แยก เราจะเห็น Chicago Board of Trade Building แบบสวยๆ เหมือนรูปด้านบนเลย
Skydeck Chicago / Willis Tower
จุดชมวิวเมืองชิคาโก บน ตึกวิลลิสทาวเวอร์ (Willis Tower) หรือชื่อเก่าที่คุ้นเคยอย่าง เซียร์ทาวเวอร์ (Sear Tower) ซึ่งความเจ๋งของจุดชมวิว Skydeck ที่นี่ ถือเป็น Observation Deck ที่สูงที่สุดในอเมริกา บนความสูง 412.4 เมตร ที่ชั้น 103 เลยนะเห้ย
วิลลิสทาวเวอร์ (Willis Tower) ถือเป็นอีกหนึ่งตึกสูงระดับท็อปของโลก เพราะเคยขึ้นแท่นครองแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลกยาวนานกว่า 25 ปี ที่ระดับความสูง 110 ชั้น (442.1 เมตร) แซงหน้าตึก World Trade Center ในปี 1974 จนกระทั่งมาเสียแชมป์ให้กับตึกใหม่อย่าง One World Trade Center ในปี 2013 นี้เอง
บนจุดชมวิว Skydeck Chicago สามารถมองเห็นวิวเมืองชิคาโก (Chicago) ผ่านกระจกได้รอบด้าน แต่มันมีความสนุกและลูกเล่นที่แตกต่างจาก 360 Chicago ที่ตึก 875 North Michigan Avenue คือ The Ledge กล่องกระจกสี่เหลี่ยมที่ยื่นออกไปนอกอาคาร เจ้ากล่องกระจกนี้มันทำให้เห็นวิวได้กว้างมากขึ้นกว่าเดิมทั่วทุกด้าน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดยอดฮิตสำหรับถ่ายรูปที่โคตรสวยเลยแหละ
การถ่ายรูปตรงนี้เราต้องต่อคิวถ่ายรูป (แต่ถ้าใครซื้อ CityPass Chicago เหมือนก๊อต เราจะได้ลัดคิวนะเออ เพราะเรามีบัตรเบ่งเป็น Fast Track จนคนในคิวยาวๆ ต้องมองค้อน 5555) เมื่อถึงคิวถ่ายรูปเราแล้ว เราจะมีเวลาให้กลุ่มละหนึ่งนาทีเท่านั้นเด้อ ดังนั้น ให้เรากดชัตเตอร์รัวไปเลยแม่ 5555555
ถ้าเป็นเรื่องของลูกเล่นการถ่ายรูป ก๊อตยกให้ที่ Skydeck Chicago เค้าแหละ เพราะมันมี The Ledge ที่เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปอวดชาวบ้านได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่เหมือน The Tilt ของ 360 Chicago ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มนั่นเอง (เดี๋ยวก๊อตจะเล่าเรื่อง 360 Chicago ให้ฟังอีกทีน้า)
คนที่มี CityPass Chicago นั้นคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม เพราะถ้าเทียบราคาเต็มกับพาสที่เราจ่ายแล้ว ราคาดีกว่ามากก ถ้ามีแพลนว่าจะมาเที่ยว Observation ก๊อตแนะนำให้ซื้อ CityPass Chicago ไว้ก่อนเลย
Untitled by Picasso
อีกหนึ่งงานประติมากรรมยักษ์ที่ Abstract แบบน่าสนใจ ล้อมรอบด้วยตึกสำนักงานสไตล์บล็อกเส้นกริด ทำให้ชิ้นงานนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นและสวยมาก นั่นคือ Untitled by Picasso ของ ปาโบล ปีกัสโซ่ (Pablo Picasso) ศิลปินระดับโลกที่ทุกคนรู้จัก ซึ่งผลงานชิ้นนี้กลายเป็นหัวข้อที่หลายคนชอบมานั่งถกเถียงกันว่า สรุปแล้วมันคืออะไรและรูปร่างนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรกันแน่ ซึ่งเอาจริง ปิกัสโซ่ เองเค้าก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้ผลงานชิ้นนี้ไปอีก ติสเวอร์ 5555
มาเยือนแล้วทั้งที นี่ขอเล่าประวัติชิ้นงานนี้นิดหน่อยแล้วกัน ย้อนไปปี 1963 ในสมัยนั้นตึกต่างๆ ใน ชิคาโก (Chicago) เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้ดูทันสมัยมากขึ้น สถาปนิกของ Richard J. Daley Center ก็เลยตัดสินใจจ้างปิกัสโซ่ให้มาสร้างประติมากรรมขนาดใหญ่สำหรับที่นี่ เพื่อให้ย่านนี้ดูทันสมัยและเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมามากขึ้น
ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่ปิกัสโซ่ปฏิเสธเงินค่าจ้าง 100,000 ดอลลาร์เพราะตั้งใจจะออกแบบเพื่อให้เป็นของขวัญ เนื่องจากในปี 1913 ที่ สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก (Art Institute of Chicago) ได้มีการจัดแสดงงานของเค้า ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแรกในอเมริกาที่จัดแสดงผลงานของปิกัสโซ่ เค้าคงรู้สึกอยากขอบคุณเมืองนี้ที่ทำให้มีคนรู้จักผลงานของเค้ามากขึ้นแหละ
ในตอนแรกที่ Untitled by Picasso ได้โชว์ชิ้นงานนี้ให้คนทั่วไปเห็น มีหลายฝ่ายที่ไม่พอใจกับงานชิ้นนี้ เพราะคนส่วนมากก็ไม่เกทไงว่ามันคืออะไรวะ มันเป็นปัญหาถึงขนาดว่า จอห์น โฮลเลน (John Hoellen) เทศมนตรีสภาเมืองชิคาโกเสนอให้เปลี่ยนเป็นรูปปั้นของนักเบสบอลชื่อดังแทนไปเลยดีกว่า แต่พอเวลาผ่านไป คนเริ่มเข้าถึงศิลปะมากขึ้น ผลงานชิ้นนี้ก็เริ่มเป็นที่สนใจของคนในเมืองและนักท่องเที่ยวมากขึ้น จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของชิคาโกมาถึงปัจจุบันนี้
การได้มาเห็น Untitled by Picasso ของจริง แล้วได้เดินวนรอบๆ และดูชิ้นงานอย่างพิถีพิถันในแต่ละมุมมอง พร้อมคิดเองเออเองในหัวว่ามันคืออะไร มันสนุกจริงๆนะเว้ย ซึ่งนี่ก็ไม่แปลกใจทำไมคนเค้าเถียงกันทั้งเมือง หลายคนวิเคราะห์กันไปหลายทางมาก บางคนก็บอกว่าชิ้นนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jacqueline Roque ภรรยาคนที่สองของปิกัสโซ่ บางคนก็บอกว่ามันคือผู้หญิงคอยาวและผมหางม้าสูงเหมือนภาพวาด Sylvette ของปิกัสโซ่ นอกจากคนจะมองเห็นเป็นผู้หญิงแล้ว หลายคนยังมองเห็นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เพราะปิกัสโซ่ชอบศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต ก็เลยทำให้บางคนเลยคิดว่านี่คงจะเป็นรูปลิงบาบูน หรือไม่ก็เป็นรูปปั้นของเทพเจ้าอนูบิส เทพเจ้าที่มีหัวเป็นสุนัขจิ้งจอก
นั่นแหละ ถึงมันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ การได้มาครุ่นคริสสส พิจารณางานแบบนี้เป็นอะไรที่สนุก ใครที่ตามเก็บงาน Public Art ในชิคาโก้ อย่าลืมมาดู Untitled by Picasso กันด้วยล่ะ
โรงละครชิคาโก (Chicago Theatre)
นี่ขอจบค่ำคืนด้วยการไปอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ต้องมาถ่ายรูปให้โลกรู้ว่า “ฉันมาถึงชิคาโกแล้วนะเว้ย” จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ป้ายระยิบระยับของ โรงละครชิคาโก (Chicago Theatre)
โรงละครชิคาโก (Chicago Theatre) เป็นอีกสถานที่ที่นอกจากเป็นจุดยอดฮิตของเหล่า Instagrammer แล้ว ที่นี่ยังเป็นโรงละครขนาดใหญ่และหรูหราแห่งแรกในอเมริกา ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1921 เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงงานประเภทต่างๆ อย่าง ฉายภาพยนตร์ แสดงละครเวที แสดงมายากล และคอนเสิร์ต ซึ่งในเวลานั้น โรงละครชิคาโก (Chicago Theatre) ถือว่าเป็นโรงละครที่ไฮโซที่สุด แพงที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นไอคอนิกจนถึงตอนนี้ที่ใครๆ ก็อยากมาดูความสวยงามนี่แหละ
ที่นี่ออกแบบโดย Cornelius และ George Rapp ซึ่งเป็นโรงละครในเครือ Balaban and Katz จุดเด่นของ โรงละครชิคาโก (Chicago Theatre) คือการออกแบบในสไตล์ French Baroque ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประตูชัย Arc de Triomphe ที่ปารีส และมีสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือป้ายไฟที่เขียนว่า “C-H-I-C-A-G-O” ขนาดใหญ่และสูงเกือบเท่าตึกนี้
ถ้าใครมีโอกาสได้เข้าไปข้างในก็จะเห็นว่าข้างในก็น่าสนใจก็หรูหราและสวยไม่แพ้ข้างหน้า ด้านในล็อบบี้ของโรงละครนี้จำลองมาจากแบบของ Royal Chapel ที่แวร์ซาย และมีบันไดขนาดใหญ่ที่มีลวดลายตามแบบของ Paris Opera House รวมไปถึงพวกภาพจิตกรรมฝาผนังในหอประชุมที่ยิ่งใหญ่และวาดออกมาได้ละเอียดมาก
ใครที่มาเที่ยวชิคาโกแล้วก็อย่าลืมมาถ่ายรูปกันนะ ก๊อตแวะมาทั้งกลางวันและกลางคืนเลย โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ป้ายไฟ ‘CHICAGO’ เปิดไฟสว่างสไว ถ่ายรูปออกมาแล้วคือจ๋วย และทุกคนรู้ว่าฉันอยู่ชิคาโกจ้า 555555
Day 4 : พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม (Museum of Science and Industry)
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม (Museum of Science and Industry) ที่มีหลายอย่างน่าสนใจมาก โดยเฉพาะการจำลองโมเดลของจริงอย่างเหมืองถ่านหิน เรือดำน้ำเยอรมัน ‘U-505’ ที่ถูกสหรัฐจับได้ในสงครามโลกครั้งที่สอง รถไฟพลังดีเซลขบวนแรกของอเมริกาอย่าง ‘Pioneer Zephyr’ และยาน Apollo 8 ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นไฮไลท์เด็ดสุดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่นี่ เอาเป็นว่า ก๊อตจะรีวิวไฮไลท์ของจริงที่ได้ไปมานี่แหละ ว่าจะอลังการขนาดไหน
ห้องแสดงเรือดำน้ำเยอรมัน U-505 ถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ที่นี่เลยแหละ เพราะนี่คือเรือดำน้ำ U-505 ของจริง ให้เราได้เดินสำรวจและเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรือดำน้ำลำนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงมีเกม Interactive ให้เราได้ขับเรือดำน้ำได้ด้วย คือยิ่งใหญ่มาก และทำออกมาได้ดีมากด้วย
U-505 นั้นเป็น 1 ใน 6 เรือดำน้ำของกองทัพทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจับได้ โดย U-505 นั้นโดนจับโดยสหรัฐในวันที่ 4 มิถุนายน 1944
อีกอันที่เจ๋งมาก และก๊อตชอบมากที่สุดคือนิทรรศการของ Pioneer Zephyr ที่ถือเป็นรถไฟเครื่องยนต์ดีเซลขบวนแรกของอเมริกา โดยวิ่งครั้งแรกเมื่อปี 1934 เส้นทางระหว่างเมืองชิคาโก-เดนเวอร์ (Chicago-Denver) ระยะทาง 1,633 กิโลเมตร แบบไม่หยุดหย่อน จนรถไฟ Pioneer Zephyr ได้รับขนานนามว่า ‘Dawn-to-Dusk’ หรือวิ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำนั่นเอง ซึ่งสมัยนั้นถือว่ายิ่งใหญ่มากนะเออ
ตัวนิทรรศการเองก็มีขบวนของ Pioneer Zephyr ตัวจริงมาแสดงโชว์แบบยิ่งใหญ่มาก มาทั้งห้องขนส่ง ห้องจดหมาย ห้องโดยสารที่มีจอ LED ขนาบข้างขนาดใหญ่ฉายภาพรถไฟยุคปัจจุบันกำลังวิ่งขนานกันอยู่ นอกจากนี้ยังมีห้องครัว และห้องท้ายรถที่เราสามารถสัมผัสความ ‘Dawn-to-Dusk’ ได้อีกด้วย คือโคตรดีย์ ชอบมากกกก